Thursday, October 1, 2009

ศาสดามุฮัมมัด : ชีวประวัติศาสดามุฮัมมัด

ชีวประวัติศาสดามุฮัมมัด
ภูมิหลังและกำเนิดของท่านศาสดา
วงศ์กุร็อยช์ (Quraysh) เป็นสาขาที่มีชื่อเสียงของชาวอาหรับอิสมาอิลียะห์ (Ismaillite) ฟิฮร์ (Fihr) เป็นคนที่มีอำนาจมากและสืบเชื้อสายมาจากอิสมาอีล ชื่ออีกชื่อหนึ่งของฟิฮร์ คือ กุร็อยช์ เพราะฉะนั้นวงศ์วานว่านเครือของเขาซึ่งเป็นต้นวงศ์ในปี คศ. 5
เชื้อสายคนหนึ่งของฟิฮร์ ชื่อว่า กุศ็อยย์ (Qusayy) ได้รวมชนเผ่ากุร็อยช์ทั้งหมดเข้าด้วยกันและเข้าครอบครองแคว้นหิยาซ รวมทั้งได้เข้าทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลสถานกะอ์บะฮ์ด้วย
เมื่อกุศ็อยย์สิ้นชีวิตลง บุตรชายของเขาชื่อ อับดุดดาร (Abd-ud-Dar) ได้เป็นหัวหน้าเผ่ากุร็อยช์สืบต่อมาและเป็นผู้ปกครองแคว้นหิยาซ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองมักกะฮ์ เมื่อเขาสิ้นชีวิตลงก็เกิดการแก่งแย่งกันในเรื่องการปกครองและสุดท้ายจึงตกลงให้อับดุชชัมส์ (Abd-Shams) ซึ่งเป็นบุตรชายของอับดุมะนาฟเป็นผู้ดูแลในด้านการคลัง พวกหลานปู่ของอับดุดดารเป็นผู้ดูแลด้านการทหาร แต่ต่อมาอับดุชชัมส์ได้มอบหน้าที่บริหารให้แก่ฮาชิม (Hashim) น้องชายของเขาซึ่งเป็นผู้ที่เหมาะสมที่จะรับหน้าที่นี้ ฮาชิมเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงอยู่ในอารเบียเพราะความกล้าหาญ และโอบอ้อมอารีของเขา
ฮาชิมผู้เป็นปู่ทวดของท่านศาสดามุฮัมมัดนั้นได้สมรสกับสตรีนางหนึ่งจากเมืองมะดีนะฮ์ และมีบุตรชายคนหนึ่งชื่อว่า ชะบีฮ (Shabih) เมื่อฮาชิมสิ้นชีพลง น้องชายของเขาคือ มุฏเฏาะลิบ (Muttalib) ได้พาชะบีฮไปที่มะดีนะฮ์ด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และยุติธรรมของอับดุลมุฏเฏาะลิบ ทำให้เขามีตำแหน่งและชื่อเสียงเป็นที่นับหน้าถือตาของชนเผ่ากุร็อยช์ แต่ฮัรบ์ (Harb) ซึ่งเป็นบุตรชายของอุมัยยะห์ไม่ยอมรับนับถือเขาและทำการแข็งข้อไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจปกครองของ อับดุลมุฏเฏาะลิบ ผู้พิพากษาได้ตัดสินให้ฮัรบ์เป็นฝ่ายแพ้เช่นเดียวกับบิดาของเขา
อับดุลมุฏเฏาะลิบ ขณะนั้นอายุล่วงเข้าวัยชราเกือบเจ็ดสิบปีแล้ว เขามีบุตรชายและหญิงหลายคน ในขณะที่ปกครองแคว้นหิยาซอยู่นั้นอับเราะฮฮะ (Abrahah) หัวหน้าชาวยะมันซึ่งเป็นคริสเตียนได้ยกทัพมารุกรานมักกะฮ์ และสถานกะอ์บะฮ์ตอนที่กรีฑาทัพมายังมักกะฮ์ ครั้งนั้นอับเราะฮ์ฮะได้ใช้ช้างเป็นพาหนะชาวอาหรับไม่เคยเห็นช้างมาก่อนจึงพากันตื่นเต้นและเรียกปีแห่งการรุกรานคราวนั้น (คศ.570) ว่าปีช้าง
กองทัพของอับเราะฮฮะส่วนหนึ่งถูกทำลายโดยโรคระบาดและอีกส่วนหนึ่งโดยพายุฝนและพายุลูกเห็บ ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์นี้อัลดุลมุฏเฏาะลิบได้พาบุตรชายคนสุดท้องของเขาคือ อัลดุลลอฮ์ (Abdul-lah) ไปยังบ้านของวะฮฮาบ (Wahhab) หัวหน้าของลูกหลานของซอเราะฮ และได้ทำการสมรสอับดุลลอฮ์กับอามีนะฮ์ บุตรสาวของวะฮฮาบ อับดุลลอฮ์อยู่กับอามีนะฮที่บ้านบิดาของนางได้เพียงสามวันก็จากไปโดยเดินทางไปทำการค้าที่ซีเรีย ตอนขากลับเขาล้มป่วยลงที่เมืองมะดีนะฮ์ และสิ้นชีวิตที่นั่น ทิ้งอูฐห้าตัว แพะฝูงหนึ่งกับอุมมุอัยมันเด็กหญิงทาสคนหนึ่งไว้ให้เป็นมรดกแก่บุตรชายของเขาซึ่งขณะนั้นยังอยู่ในครรภ์
กำเนิดของท่านศาสดามุฮัมมัดและชีวิตปฐมวัย
อามีนะฮ์ ผู้ตกเป็นม่ายได้ให้กำเนิดบุตรชายในวันจันทร์ที่ 12 เดือนเราะบีอุลเอาวัล คศ. 570 ปู่ของเขาได้ตั้งชื่อให้ว่ามุฮัมมัด และแม่ให้ชื่อว่าอะห์มัด (Muhummad-Ahmad) ทั้งสองชื่อนี้ปรากฏอยู่ในคัมภีร์อัลกุรอาน
ผู้ที่ทำหน้าที่เลี้ยงดูทารกก็คือนางฮะลีมะฮ หญิงในวงศ์วานลูกหลานของสะอ์ด (Sa'd) ตามธรรมเนียมนิยมของชาวอาหรับในขณะนั้น มุฮัมมัดไปอยู่กับพี่เลี้ยงท่ามกลางพรรคพวกของนางเป็นเวลาห้าปี ในระหว่างนี้ท่านได้เรียนรู้ภาษาอาหรับชนิดที่บริสุทธิ์ที่สุดจากผู้คนเหล่านั้น
เมื่อมีอายุได้หกขวบ มุฮัมมัดก็ถูกส่งตัวกลับมาให้มารดาเลี้ยงดูต่อไป มารดาต้องการจะพาบุตรชายไปให้รู้จักกับญาติทางมารดา จึงได้ออกเดินทางไปมะดีนะฮ์ โดยมีทาสหญิงของนางติดตามไปด้วย ขากลับมามักกะฮ์ขณะเดินทางมาถึงสถานที่หนึ่งซึ่งมีนามว่า อัลอับวา (Al-Abwa) นางอามีนะฮ์ก็ได้ล้มเจ็บลงและสิ้นชีวิต หลังจากนั้นอุมมุอัยมัน ทาสหญิงผู้ภักดีก็พาเด็กน้อยกำพร้าบิดามารดากลับมายังมักกะฮ์
อับดุลมุฏเฏาะลิบผู้เป็นปู่ได้เป็นผู้เลี้ยงดู ต่อมาแค่เพียงสองปีเท่านั้นผู้เป็นปู่ก็ถึงแก่กรรมลงอีก ฉะนั้นมุฮัมมัดจึงเป็นเด็กกำพร้าทั้งพ่อแม่และปู่ตั้งแต่อายุยังน้อย หลังจากนั้นหน้าที่เลี้ยงดูมุฮัมมัดก็ตกเป็นของอบูฏอลิบ (Abu Talib) ผู้เป็นลุง ซึ่งรักเอ็นดูหลานชายอย่างยิ่ง จนกระทั่งมุฮัมมัดเติบใหญ่ เนื่องจากลุงของท่านไม่ใช่คนร่ำรวย มุฮัมมัดจึงต้องทำงานโดยพาฝูงแกะและอูฐไปเลี้ยงตามเนินเขา และหุบเขาใกล้ ๆ มุฮัมมัดมีนิสัยเมตตากรุณาต่อคนยากจน และผู้มีทุกข์มาตั้งแต่เด็ก ๆ เป็นคนที่ชอบอยู่อย่างสงบ รักการคิดใคร่ครวญ ผู้คนในเผ่าเดียวกันต่างก็รักใคร่และให้เกียรติ เพราะเขามีนิสัยอ่อนโยนมีอัธยาศัยไมตรี การที่เขาถือความสัตย์อย่างเข้มงวด และมีความซื่อสัตย์เป็นอย่างยิ่งซื่อตรง ต่อหน้าที่อย่างไม่สะทกสะท้านนั้น ทำให้มุฮัมมัดได้รับการขนานนามว่า อัลอามีน (Al-Amin) ซึ่งแปลว่าผู้ควรแก่การเชื่อถือ
เมื่ออายุได้สิบสองปีมุฮัมมัดได้เดินทางไปค้าขายที่ซีเรียกับลุงและที่ซีเรียนี่เอง ท่านได้พบกับนักบุญคริสเตียนคนหนึ่งมีชื่อว่า บุฮัยรอ (Buhaira) ซึ่งได้ทำนายมุฮัมมัดว่าจะเป็นศาสดาท่านสุดท้ายและกล่าวถึงด้วยความยกย่อง ในระหว่างที่มีงานออกร้านอุกาซได้เกิดการสู้รบกันขึ้น ทุกเผ่าในอารเบียได้ร่วมในสงครามนี้ มุฮัมมัดได้ช่วยเหลือลุงของเขาด้วยโดยการคอยเก็บลูกธนูที่ฝ่ายข้าศึกยิงมาไปให้ อบูฏอลิบผู้เป็นลุง เขาได้แลเห็นว่าสงครามนี้ได้ทำลายชีวิตคนนับจำนวนพัน มุฮัมมัดจึงได้จัดตั้งคณะกรรมการสงบศึกขึ้นคณะหนึ่งเรียกว่า ฮาลฟุลฟูซุล (HalfulFuzul) โดยได้รับความช่วยเหลือและความร่วมมือจากคนหนุ่มที่แข็งแรงกลุ่มหนึ่ง จุดประสงค์ของคณะกรรมการนี้ก็เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและระเบียบ และเพื่อสร้างมิตรไมตรีกันระหว่างเผ่าต่าง ๆ ในเมืองมักกะฮ์
มุฮัมมัดกับท่านหญิงคอดีญะฮ์
ในระหว่างนี้ชื่อเสียงของมุฮัมมัดได้ขจรขจายไปทั่วดินแดนอารเบีย เคาะดีญะฮ์ (Khadijah) แม่ม่ายผู้มีอันจะกินนางหนึ่งได้ยินกิติศัพท์ของมุฮัมมัดเข้าก็อยากให้ท่านมาเป็นผู้ดูแลธุรกิจของนาง ลุงของท่านได้อนุญาตให้ท่านเดินทางไปดูแลการค้าให้นางที่ซีเรีย
เมื่อเดินทางกลับมาและได้มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้านาง มุฮัมมัดก็ทำผลกำไรให้นางได้อย่างมากมาย ด้วยความฉลาดปราดเปรื่องและซื่อสัตย์ของท่านนั่นเอง นางรู้สึกประทับใจในบุคลิกลักษณะอันมีเสน่ห์ของท่านเป็นอย่างมาก จนถึงกับขอแต่งงานกับท่าน ขณะนั้นนางเคาะดีญะฮ์มีอายุได้ 40 ปี เคยแต่งงานมาแล้วสองครั้งมีบุตรชายสองคนและบุตรหญิงคนหนึ่ง การแต่งงานได้ถูกจัดทำขึ้นด้วยความเห็นชอบของลุงของมุฮัมมัด ซึ่งขณะนั้นมีอายุได้ 25 ปี ชีวิตสมรสของทั้งสองดำเนินไปด้วยความสุข นางเคาะดีญะฮ์นิยมชมชอบความปรีชาสามารถและบุคลิกภาพอันงามสง่าของมุฮัมมัดเป็นอย่างมาก นางปล่อยให้ท่านมีเวลาเป็นของตัวเองได้อย่างมีอิสระโดยไม่ต้องกังวลใด ๆ เลย ยามที่ท่านมีความเศร้าโศก และความทุกข์นางก็คอยปลอบโยนท่าน
ท่านศาสดาได้กล่าวในตอนหลังว่าเมื่อท่านได้รับมอบหมายภารกิจจากพระผู้เป็นเจ้านั้น ตอนแรกไม่มีใครเชื่อท่านเลยนางเคาะดีญะฮ์คนเดียวเท่านั้นที่เชื่อท่าน เมื่อยามที่ท่านไม่มีเพื่อนนางก็เป็นเพื่อนท่าน เมื่อศาสดาอายุได้ห้าสิบปี นางเคาะดีญะฮ์ก็สิ้นชีวิต ท่านจึงต้องสูญเสียเพื่อนผู้ซื่อสัตย์และจริงใจไป ท่านมีบุตรชายกับนางหลายคนแต่สิ้นชีวิตตั้งแต่ยังเล็กเสียหมด ลูก ๆ ที่เสียชีวิตนั้นเป็นชาย ส่วนที่เหลืออยู่เพียงสามคนนั้นคือบุตรหญิงที่ชื่อ ฟาฏิมะฮ์ (Fatimah) ซึ่งภายหลังได้สมรสกับท่านอะลี อุมมุกุลซูม (Ummukulzum) และซัยนับ ซึ่งต่อมาได้เป็นภรรยาของท่าน อุสมานซึ่งเป็นเคาะลีฟะฮ์ (Khaliph) ท่านที่สาม1
หลังจากแต่งงานกับนางเคาะดีญะฮ์แล้ว มุฮัมมัดก็มักจะไปที่ถ้ำฮิรอ (Hira) และใช้เวลาอยู่ที่นั่นเดือนหนึ่งทุก ๆ ปีเพื่อแสวงหาความสงบ คืนหนึ่งขณะที่ท่านนอนอยู่ในถ้ำก็ได้ยินเสียงหนึ่งพูดกับท่านและสั่งให้ท่านอ่าน ท่านตัวสั่นด้วยความกลัวและตอบว่าท่านอ่านหนังสือไม่เป็น เสียงนั้นก็บอกอีกถึงสามครั้ง ครั้งที่สามนี้มุฮัมมัดจึงได้อ่านในนามแห่งอัลลอฮ์ พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ถูกประทานมาให้ท่านครั้งแรกในเดือนเราะมาฎอน
มุฮัมมัดได้รับมอบหน้าที่ศาสดาผู้ประกาศศาสนาเมื่ออายุได้สี่สิบปี ท่านเริ่มเทศนาคำสอนของอิสลามในหมู่ประชาชนในเมืองมักกะฮ์ คำสอนของท่านนบีมีดังนี้ "พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้สร้างและเนรมิต พระองค์เป็นผู้นำชีวิตและความตายมาให้ ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์" ท่านเน้นถึงความเป็นหนึ่งของพระผู้เป็นเจ้า (Tawhid) อันเป็นหลักสำคัญของศาสนาอิสลาม ท่านกล่าวว่าผู้คนควรเลิกบูชารูปเคารพเสีย ภรรยาของท่านคือเคาะดีญะฮ์เป็นคนแรกที่เลิกบูชารูปเคารพและยอมรับคำสั่งสอนของท่าน ต่อไปก็คือท่านอะลี อบูบักร์ อุษมาน อับดุรเราะห์มาน ซัยต์ อัซซุบัยร์ และ ฎ็อลละฮ์ เมื่อเวลาผ่านไปจำนวนผู้เข้ารับอิสลามก็เพิ่มขึ้น ภายในเวลาสามหรือสี่ปีก็มีผู้เข้ารักศาสนาอิสลามเกือบสี่สิบคน
ความสำเร็จของท่านศาสดามุฮัมมัดทำให้เผ่ากุร็อยช์ไม่พอใจ ครั้งแรกคนเหล่านั้นพากันหัวเราะเยาะ แต่เมื่อท่านศาสดาแสดงความกระตือรือร้นอย่างเด็ดเดี่ยวในการที่จะสั่งสอนคำสอนของพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาก็เริ่มปฏิบัติต่อท่านและสานุศิษย์ของท่านอย่างร้ายกาจ ตระกูลกุร็อยช์ซึ่งครองมักกะฮ์อยู่ขณะนั้นได้ทำการต่อต้านคำสอนใหม่ของอิสลามพอ ๆ กับที่ได้ทำการต่อต้านการปฏิวัติด้านสังคมและการปกครองที่ท่านศาสดาดำเนินการอยู่ในขณะนั้น คำสั่งสอนของท่านศาสดา เปรียบเสมือนการฟาดฟันลงตรงรากเง่าของความเชื่อดั้งเดิมของพวกเขา เพราะเป็นคำสอนที่ปฏิเสธเทพเจ้าเก่า ๆ ทั้งหมด คนเหล่านั้นเป็นพวกถอยหลังเข้าคลองจึงไม่ชอบที่จะเปลี่ยนแปลงศาสนาและสังคมของพวกตนที่มีมาแต่เดิม นอกจากนั้นยังมีพวกนักบวชในตระกูลกุร็อยช์ที่คิดว่าการที่อิสลามมีอำนาจขึ้นนั้นย่อมหมายถึงความพินาศของคน พวกเขาจึงยุยงตระกูลกุร็อยช์ให้ต่อต้านท่านศาสดา อีกประการหนึ่งคนตระกูลนี้มีหน้าที่ดูแลสถานกะอ์บะฮ์อันเป็นที่มาของรายได้ของพวกเขา
ฉะนั้นพวกเขาจึงเกรงว่าถ้าผู้คนหันไปหาอิสลามกันเสียหมด สถานที่นั้นก็จะหมดความศักดิ์สิทธิ์ไปและพวกคนก็จะเสียรายได้ไปอย่างน่าเสียดาย ฉะนั้นคนเหล่านี้จึงได้แสดงความกริ้วโกรธต่อพวกทาส คนอ่อนแอ และคนยากจนที่ไร้ที่พึ่งพิง และผู้ที่เข้ารับอิสลามต้องถูกจับไปทรมานให้ตากแดดอันร้อนระอุ และให้นอนบนผืนทรายที่ร้อนจัดหรือบนเนินหินที่ร้อนจัด ทั้งนี้เพื่อข่มขวัญและขู่เข็ญเขาเหล่านั้นมิให้ไปนับถือศาสนาอิสลาม ทำให้เหล่าผู้ศรัทธาเหล่านั้นต้องอพยพหลบหนีไปยัง อบิสสิเนีย ซึ่งกษัตริย์แห่งอบิสสิเนียได้ต้อนรับคนเหล่านั้นด้วยอัธยาศัยไมตรี และสร้างความโกรธแค้นแก่พวกกุร็อยช์ต่อชาวมุสลิมมากขึ้นเป็นทวีคูณ
คำปฏิญาณครั้งแรกและครั้งที่สองแห่งอะเกาะบะฮ์ (Aqabah)
มุฮัมมัดกำลังเฝ้ารอฤดูแสวงบุญปีใหม่อยู่ เมื่อถึงวันนั้นท่านก็ไปรออยู่ที่แห่งหนึ่ง คราวนี้มีสานุศิษย์ผู้มีศรัทธาเดินทางมามักกะฮ์สิบสองคน และท่านศาสดาได้ไปพบพวกเขาที่อะเกาะบะฮ์ คนเหล่านั้นได้ให้สัตย์ปฏิญาณต่อหน้าท่านว่าเขาจะไม่บูชาสิ่งใดนอกจากพระผู้เป็นเจ้า
บัดนี้ท่านศาสดาได้ฝากความหวังของท่านไว้ที่เมืองยัษริบ ในระหว่างนี้เองที่ท่านได้เดินทางไปเฝ้าพระผู้เป็นเจ้าโดยปาฏิหาริย์ (มิอรอจญ์ : Miraj) การเดินทางในเวลาค่ำคืนไปยังกรุงเยรูซาเล็มและได้รับคำสั่งจากพระองค์ให้สอนให้ผู้คนทำการนมัสการวันละห้าเวลา การบัญญัติให้มุสลิมปฏิบัตินมาซ(ละหมาด) ได้เริ่มต้นขึ้นหลังจากศาสดาได้กลับจากกรุงเยรูซาเล็มในคืนนั้น
ในปีต่อมาก็ได้มีคนเจ็ดคนเดินทางมาจากเมืองยัษริบเพื่อให้สัตย์ปฏิญาณต่อหน้าท่านศาสดา ผู้เข้ารับอิสลามชุดใหม่นี้สัญญาว่าจะช่วยเหลือและปกป้องท่าน และได้เชิญให้ท่านเดินทางไปยังเมืองนั้น มูสาบ (Musab) ผู้ถูกส่งตัวไปสอนศาสนาอิสลามที่เมืองยัษริบ ก็ได้เดินทางมากับคนกลุ่มนี้ด้วย เขาได้บอกท่านศาสดาถึงความก้าวหน้าของอิสลามในเมืองนั้น ท่านจึงคิดอพยพไปยังเมืองยัษริบ แต่ก็มีเหตุผลอีกบางประการด้วยที่ทำให้ท่านจำต้องเดินทางไปจากถิ่นกำเนิดของท่าน
การอพยพโยกย้าย (ฮิจญ์เราะห์)
มักกะฮ์เป็นสถานที่แห้งแล้งเต็มไปด้วยเนินเขา สภาพทางภูมิศาสตร์นับว่ามีอิทธิพลต่อผู้คนในเมืองเป็นอย่างมากทีเดียว ชาวมักกะฮ์มักเป็นคนอารมณ์ร้ายและไม่ค่อยมีความคิดที่ลึกซึ้ง ตรงกันข้ามยัษริบเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ มีพืชผักผลไม้มากชนิด ดินฟ้าอากาศก็ไม่ทารุณเหมือนมักกะฮ์ ทำให้ผู้คนมีจิตใจอ่อนโยน มีความเกรงใจและช่างคิด เพราะฉะนั้นในระยะต้นของการเผยแพร่อิสลาม มะดีนะฮ์จึงเป็นที่ ๆ เหมาะสมมากกว่ามักกะฮ์ ในมะดีนะฮ์ไม่มีพวกนักบวชคอยต่อต้านความเจริญเติบโตของอิสลามเหมือนในมักกะฮ์ ฉะนั้นจึงเป็นการง่ายที่จะสั่งสอนศาสนาอิสลามมากกว่าที่อื่น
นอกจากนั้นในเมืองนี้ยังมีชาวยิวอาศัยอยู่ด้วย พวกยิวถือว่ามุฮัมมัดเป็นผู้สนับสนุนคัมภีร์ของพวกตน ฉะนั้นพวกเขาจึงรอต้อนรับท่านศาสดาด้วยความกระตือรือร้น
ท่านศาสดาได้สั่งสานุศิษย์ของท่านให้โยกย้ายไปอยู่ที่เมืองยัษริบ ชาวมุสลิมเริ่มขายทรัพย์สมบัติของพวกตนและเริ่มทยอยกันไปเป็นกลุ่มเล็ก ๆ เมื่อพวกกุร็อยช์รู้เข้าก็โกรธแค้นจะเอาชีวิตท่านศาสดาเสียให้ได้ แต่ท่านก็ได้รับการเตือนจากผู้หวังดีได้ทันเวลา ท่านศาสดาพร้อมด้วย อบูบักร์ และอะลียังรอคำสั่งจากพระผู้เป็นเจ้าอยู่ในเมืองมักกะฮ์ เมื่ออันตรายรุนแรงถึงจุดสุดยอด และคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้าได้มาถึง ท่านจึงได้ตัดสินใจที่จะอพยพไปยังเมืองยัษริบ ท่านได้หลบหนีออกไปกับอบูบักร์ในตอนพลบค่ำ โดยไปหลบอยู่ในถ้ำ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองมักกะฮ์นัก เมื่อเห็นว่าปลอดภัยดีแล้วจึงได้เดินทางต่อไปจนถึงยัษริบเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม คศ. 622 เหตุการณ์ครั้งนี้เรียกว่าการอพยพ หรือฮิจเราะห์อันเป็นการเริ่มต้นศักราชแห่งอิสลามของชาวมุสลิม
นับตั้งแต่นั้นมาเวลาแห่งการประหัตประหารชาวมุสลิมในเมืองมักกะฮ์ก็ได้สิ้นสุดลง และยุคแห่งเมืองมะดีนะห์ก็เริ่มต้นขึ้น ภารกิจของท่านศาสดายังไม่สำเร็จเสร็จสิ้นแต่ความสำเร็จก็เริ่มขึ้นแล้วที่มะดีนะฮ์ ท่านศาสดาไม่เพียงแต่ได้รับการต้อนรับอย่างมีเกียรติเท่านั้น แต่ยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานของชุมชนอีกด้วย สถานะและอำนาจของท่านศาสดาก็เพิ่มขึ้น และอิสลามก็ได้ตั้งหลักปักฐานมั่นคงขึ้นทุกวัน ณ เมืองนี้ท่านศาสดามีอิสรภาพที่จะเทศนาคำสอนของพระผู้เป็นเจ้าท่ามกลางผู้หลงผิด ที่ในที่สุดก็หันมามีศรัทธาในอิสลามมากขึ้นและได้ขยายออกไปเรื่อย ๆ
ความสัมพันธ์ระหว่างท่านศาสดากับชาวยิว
ท่านศาสดาได้ให้สัญญาแก่ชาวยิวซึ่งบ่งว่าพวกเขาจะได้รับประกันสิทธิทางการปกครองและศาสนา ชาวยิวก็ให้ประกันว่าพวกเขาจะไม่ทำอันตรายใด แก่ชาวมุสลิม ยิ่งกว่านั้นพวกเขาจะช่วยมุสลิมด้วยถ้าพวกมุสลิมถูกผู้ใดโจมตี ก่อนที่ท่านศาสดาจะมายังเมืองมะดีนะฮ์ชาวยิวในมะดีนะฮ์ก็รู้แล้วจากคัมภีร์ของเขาว่าจะมีศาสดามาและเมื่อท่านศาสดามุฮัมมัดมาอยู่ท่างกลางพวกเขา พวกเขาก็รู้ว่านี่ต้องเป็นศาสดาที่ถูกกล่าวถึงนั้นเอง แต่แล้วพวกยิวก็มิได้รักษาคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ เมื่ออิสลามมีอำนาจมากขึ้น พวกเขาก็คิดว่านั่นเป็นความประสงค์ร้ายต่อความรุ่งเรืองทางด้านการค้า และเศรษฐกิจของพวกเขา ในไม่ช้าพวกเขาก็ลุกขึ้นต่อต้านอิสลาม ขั้นแรกพวกเขาพยายามจะก่อให้เกิดความแตกแยกขึ้นในหมู่ชนเผ่า ก็ไปติดต่อกับพวกกุร็อยช์แห่งมักกะฮ์ ในระหว่างสงครามบัดร์พวกยิว ก็ไม่ได้ช่วยเหลือมุสลิมตามที่บ่งไว้ในสนธิสัญญา พอเสร็จสงครามบัดร์เท่านั้น ก็อบ (Qab) หัวหน้าชาวยิวก็ได้ประกาศเป็นศัตรูกับมุสลิมอย่างเปิดเผยและได้ติดต่ออย่างลับ ๆ กับอบูซุฟยานแห่งมักกะฮ์ และถึงกับพยายามจะฆ่าท่านศาสดาด้วย ในบรรดาชาวยิวสามกลุ่มคือ กลุ่มบนู (ลูกหลานของ) กอยนุกออ์ บนูนะฎิร และบนูกุร็อยช์นั้น พวกบนูกอยนุกออ์ (Banu Quinukah) เป็นพวกที่มั่งคั่งที่สุดและเป็นกลุ่มแรกที่ละเมิดสนธิสัญญา ท่านศาสดาพยายามที่จะเจรจากับพวกเขาโดยดีแต่ก็ไม่มีผลจึงต้องใช้กำลังทหารไปล้อมยิวพวกกอยนุกออ์ไว้และผลต่อมาก็คือต้องขับไล่พวกยิวออกจากเมืองมะดีนะฮ์ ในปีที่สามแห่ง ฮศ. ก็อบก็ถูกประหารชีวิต เนื่องจากทำการกบฎต่อมะดีนะฮ์และต่อชาวมุสลิม
ในระหว่างสงครามอุฮุด พวกเขาทรยศต่อมุสลิม ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับการยกเว้นจากการเนรเทศแต่ในไม่ช้าพวกเขาก็ละเมิดคำสัญญาไปร่วมกับพวกกุร็อยช์อย่างเปิดเผย เพื่อที่จะต่อต้านมุสลิมและเร่งให้เกิดสงครามคูเมืองขึ้น ในขณะที่มะดีนะฮ์ถูกล้อม พวกเขาก็ก่อการร้ายขึ้นในเมืองจนถึงกับนองเลือด หลังจากสงครามยิวกลุ่มบนูกุร็อยช์ก็ถูกสั่งให้ล้อมที่อยู่ของพวกเขาไว้ชาวยิวจึงยอมแพ้ และขอเจรจาไกล่เกลี่ย ท่านศาสดาได้ส่งเรื่องให้ผู้มีอำนาจในพวกเขาเองเป็นคนพิจารณา ผลของการตัดสินปรากฎว่า ผู้ชายสามสี่ร้อยคนถูกประหารชีวิตและคนที่เหลือก็ถูกเนรเทศไปยังซีเรีย เห็นได้ว่าชาวยิวทำการกบฏอย่างร้ายกาจ ซึ่งถ้าทำสำเร็จก็จะก่อให้เกิดการฆ่าชาวมุสลิมจึงสมควรจะได้รับโทษเช่นนั้น แต่กระนั้นท่านศาสดาก็ยังพยายามอย่างเต็มที่ที่จะประนีประนอมกับพวกเขา แต่ทุกครั้งพวกเขากลับลอบทำร้ายชาวมุสลิมลับหลัง
การทำฮัจญ์
ในที่สุดเวลาที่ท่านศาสดาจะไปเยือนมักกะฮ์ เพื่อทำฮัจญ์ได้ตามสนธิสัญญาหุดัยบียะฮ ก็มาถึง ท่านและผู้ติดตามได้ไปยังมักกะฮ์ และพวกกุร็อยช์ก็ได้ทิ้งเมืองไปตามสัญญา ปล่อยให้ท่านและพรรคพวกอยู่ในมักกะฮ์เป็นเวลาสามวัน หลังจากนั้นมุสลิมก็เดินทางกลับมามะดีนะฮ์
การสู้รบที่มุอ์ตะฮ์ (Mutah)
หลังจากกลับมาจากมักกะฮ์แล้วท่านศาสดาได้ส่งทูต 50 คนไปที่กลุ่มบนูซาลิม เพื่อเผยแพร่อิสลามแต่ทูตส่วนมากถูกฆ่าตาย หลังจากเหตุการณ์นี้ไม่นานท่านก็ส่งทูต 15 คนไปยังซันอัตลา (Dhat Atla) ในเขตแดนซีเรียอีกแต่ทูตถูกระดมยิงด้วยธนูจนสิ้นชีวิตหมด เหลือรอดชีวิตมาได้คนเดียว
ในขณะเดียวกันนี้ก็ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญ ขึ้นอีกอย่างหนึ่งซึ่งบังคับให้ท่านศาสดาต้องบุกเข้าไปในเขตแดนของโรมัน คือฑูตคนหนึ่งถูกผู้ปกครองเมืองมุอ์ตะฮ์ซึ่งเป็นคริสเตียนมีชื่อว่า ชูรอฮ์บิล (Shurahbil) ฆ่าตายในขณะที่เขากำลังเดินทางไปหาเจ้าชายแห่งแคว้นฆ็อสสานิด (Chasanid)ที่เมืองบัศเราะห์ (Basrah) การกระทำเช่นนี้เป็นภัยต่อความสงบระหว่างประเทศ ท่านศาสดาจึงสั่งให้ซัยด์ (Zaid) ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมของท่านนำทัพไปยังจุดที่ฑูตศาสดาผู้นั้นถูกฆ่าตายกองทัพของซัยด์และชูเราะฮ์บิลพบกันที่จุดนี้ และเกิดการต่อสู้อย่างดุเดือดขึ้น ซัยด์ และยะอฟัร และ อับดุลลอฮ์ สิ้นชีวิตลง แต่คอลิด (Khalid) ก็แก้ไขสถานการณ์ได้ทำให้กองทัพมุสลิมได้ชัยชนะฝ่ายข้าศึก
การพิชิตมักกะฮ์
สนธิสัญญาหุดัยบียะฮ์ เป็นโอกาสให้ชนเผ่าคุซาอะฮ์ สามารถประกาศตัวเป็นฝ่ายท่านศาสดามุฮัมมัด และเผ่าบนูบักร์เข้าเป็นฝ่ายกุร็อยช์ได้ แต่เมื่อสนธิสัญญานั้นใช้บังคับอยู่ได้สองปี เผ่าบนูบักร์ซึ่งร่วมมือกับคนกลุ่มที่หนึ่งของพวกกุร็อยช์ ก็ได้เข้าโจมตีเผ่าคุซาอะฮ์ในเวลากลางคืน และฆ่าคนเหล่านั้นตายไปหลายคน ผู้แทนสี่สิบคนจากเผ่าคุซาอะฮ์จึงเข้าพบท่านศาสดา และแจ้งข่าวให้ท่านทราบ ครั้งแรกท่านได้ส่งทูตเจรจากับฝ่ายกุร็อยช์ โดยมีข้อเสนอดังนี้
(ก) พวกเขาต้องจ่ายค่าทำขวัญให้แก่เผ่าคุซาอะฮ์ตามสมควร
(ข) ให้ตัดการติดต่อทั้งหมดกับชนเผ่าบนูบักร์ หรือ
(ค) ประกาศสนธิสัญญาหุดัยบียะห์เป็นโมฆะ
พวกกุร็อยช์ยอมรับข้อเสนอ เมื่อท่านศาสดาทราบก็เห็นว่าไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องทำสงครามกับพวกกุร็อยช์ ท่านได้สั่งให้กองทัพของท่านเข้าโจมตีเมืองมักกะฮ์ทันที อบูซุฟยานจึงรู้ตัวว่าทำผิดไปที่ปฏิเสธทูตสันติ ดังนั้นจึงส่งทูตไปเจรจากับท่านศาสดาใหม่ แต่ท่านศาสดาก็ไม่รอเวลาอีก ในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 630 ท่านได้เคลื่อนกองทัพซึ่งมีจำนวนคน 10,000 คนไปยังมักกะฮ์ อบูซุฟยานถูกจับตัวได้แต่ท่านศาสดาก็ได้ยกโทษให้แก่เขาผู้เคยเป็นศัตรูของท่านมาตลอดชีวิต ครั้นแล้วอบูซุฟยานก็ได้เข้ารับอิสลาม
ท่านศาสดาพิชิตมักกะฮ์บ้านเกิดของท่านได้โดยสันติไม่มีการนองเลือด ถึงแม้ว่าท่านและประชากรของท่านจะถูกกดขี่ข่มเหงมาตลอดเวลาสิบสามปีโดยพวกกุร็อยช์ก็ตามแต่ เมื่อท่านเอาชนะได้ท่านก็แสดงความเมตตาและอภัยโทษให้แก่พวกเขา การประนีประนอมเช่นนี้เป็นนโยบายของท่านศาสดาตลอดมา และการพิชิตมักกะฮ์ได้นี้ เป็นการเปิดศักราชใหม่ของอิสลาม
การทำฮัจญ์ครั้งสุดท้ายของท่านศาสดา
ในวันที่ 25 เดือนซุลฮิจญะห์ ในปีที่ 10 ศาสดามุฮัมมัด และบรรดาภรรยาของท่านได้ออกเดินทางไปมักกะฮ์ ติดตามด้วยประชาชนราว 90,000 คน (นักประวัติศาสตร์บางท่านกล่าวว่า 14,000 คน) ท่านได้ออกเดินทางไปด้วยหัวใจที่ปลื้มปิติ และเมื่อเดินทางถึงซุลฮุลัยฟะฮ์ (Dhul Hulaifa) ในตอนสิ้นแสงตะวัน พวกเขาได้ค้างคืนที่นั่นหนึ่งคืน เช้าวันรุ่งขึ้นจึงได้สวมใส่ชุดอิห์รอมเดินทางต่อไปยังมักกะฮ์ ในขณะที่ชาวมุสลิมเดินทางไปทำพิธีฮัจญ์นั้น อะลี อิบนุ อบีฎอลิบ ได้เดินทางกลับมาจากยะมัน จึงได้เดินทางไปสมทบในพิธีฮัจญ์ด้วย
คำสอนครั้งสุดท้ายของศาสดา
ในวันที่ 8 ซุลฮิจญะห์ ศาสดามุฮัมมัดและบรรดามุสลิมได้ไปพักอยู่ที่ตำบลมินาและค้างอยู่ที่นั่น วันรุ่งขึ้นท่านได้ขึ้นอูฐเดินทางไปยังภูเขาอะรอฟะฮ ได้ตั้งกระโจมพักอยู่ตรงด้านตะวันออกของภูเขาตรงจุดนี้เรียกกันว่านะมีรอฮ ในตอนเที่ยงท่านได้เดินทางไปถึงภูเขานูร ณ ที่นี้เองท่านได้นั่งบนหลังอูฐ และเริ่มเทศนาสั่งสอนชาวมุสลิมด้วยเสียงอันดัง โดยมี เราะบีอะฮ อิบนุ อุมัยยะฮ อิบนุ เคาะลัฟ (Rabiah ibn Umayyah ibn Khalaf) คอยพูดซ้ำทีละประโยค ศาสดาเริ่มต้นด้วยการกล่าวสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าขอบคุณพระองค์แล้วท่านก็กล่าวสุนทรพจน์ดังต่อไปนี้ :
" โอ้ท่านทั้งหลายจงตั้งใจฟังคำพูดของฉัน เพราะฉันไม่รู้ว่าฉันจะได้พบกับพวกท่าน ในโอกาสเช่นนี้อีกเมื่อไร โอ้ท่านทั้งหลายชีวิตและทรัพย์สินของพวกท่านเป็นสิ่งต้องห้ามและเป็นสิ่งที่คนหนึ่งคนใดจะมาล่วงละเมิดมิได้ จนกว่าพวกท่านจะได้พบกับผู้อภิบาลเสมือนกับวันบริสุทธิ์นี้ และเดือนนี้เป็นเวลาที่ต้องห้ามสำหรับพวกท่านและเมืองนี้ก็เป็นเมืองต้องห้ามสำหรับพวกเท่านทั้งหลาย พวกท่านทั้งหลายจะต้องได้รับการสอบสวนจากองค์พระผู้อภิบาลของพวกท่านในกิจการงานทุกอย่างที่พวกท่านได้กระทำไว้
โอ้ประชาชนทั้งหลายพวกท่านทั้งหลายมีสิทธิที่ได้รับมอบหมายเหนือฝ่ายสตรี และฝ่ายสตรีก็มีสิทธิเหนือฝ่ายชายเช่นกันในหน้าที่ที่ท่านได้รับมอบหมาย ดังนั้นพวกท่านจงได้ปกป้องดูแลภรรยาของพวกท่านด้วยความรักความเมตตาเถิด แน่นอนใครที่ทำได้เช่นนั้นก็เท่ากับเขาได้ปกครองดูแลภรรยของเขาเอาไว้ให้อยู่ในความพิทักษ์รักษาของพระผู้เป็นเจ้า พวกท่านทั้งหลายจงรักษาความศรัทธาเชื่อมั่นให้คงไว้ในจิตใจของพวกท่าน และจงหลีกเลี่ยงออกห่างจากเรื่องบาปกรรม และความชั่ว ดอกเบี้ยหรือการให้กู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเป็นสิ่งต้องห้าม สำหรับลูกหนี้ให้ส่งคืนเฉพาะเงินในจำนวนที่ยืมมาและเรื่องของดอกเบี้ยที่จำเป็นจะต้องถูกยกเลิกคือ ดอกเบี้ยของอับบาส อิบนุ อบูฏอลิบ (Abbas Ibn Abutalib)
นับแต่นี้ต่อไปเรื่องของการแก้แค้นทดแทนกันด้วยเลือด เช่นในสมัยของยุคป่าเถื่อน เป็นเรื่องต้องห้าม การอาฆาต จองล้างจองผลาญกันด้วยเลือดต้องสิ้นสุดกันเสียที เริ่มต้นด้วยเรื่องการฆาตกรรมของอิบนุเราะบีอะฮ อิบนุ ฮาริษ (Ibn Rabia-h ibn Harith)
โอ้ประชาชนทั้งหลาย บรรดาข้าทาสคนใช้ของพวกท่านที่อยู่ในความดูแลของพวกท่านนั้นจงเลี้ยงดูพวกเขาเช่นอาหารที่พวกท่านรับประทาน และให้เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มแก่พวกเขาด้วยเครื่องนุ่งห่มที่พวกท่านใช้ หากพวกเขาได้กระทำในสิ่งที่เป็นความผิดพลาดชนิดที่ท่านไม่ปรารถนาที่จะอภัยให้พวกเขาก็จงแยกทางกับเขาเสีย อย่าทำร้ายเฆี่ยนตีทำทารุณพวกเขา เพราะเขาต่างก็เป็นบ่าวของพระองค์เช่นเดียวกับพวกเรา
โอ้ประชาชนทั้งหลายมารร้ายนั้นได้หมดสิ้นความหวังทั้งมวล ที่จะได้รับการเคารพบูชาในดินแดนของพวกท่านแล้ว แต่กระนั้นก็ตามมันยังเป็นห่วงที่จะกำหนดการกระทำอันต่ำต้อยของพวกท่านอยู่ เพราะฉะนั้นจงระวังมันไว้เถิด เพื่อความปลอดภัยแห่งตัวท่านและศาสดาของท่าน
โอ้ประชาชนทั้งหลาย พวกท่านจงรำลึกและจดจำในสิ่งที่ฉันพูด พวกท่านต้องรำลึกเสมอว่า มุสลิมทุกคนนั้นมีฐานะเป็นพี่น้องกัน พวกท่านทั้งหลายต่างมีความเท่าเทียมกัน และขอให้ทุกคนมีความพอใจในสิทธิและหน้าที่ความรับผิดชอบที่เรามีอยู่เสมอหน้ากัน พวกท่านแต่ละคนล้วนแต่เป็นสมาชิกของสังคมพี่น้องเดียวกันจงปกป้องตัวของท่านให้ห่างไกลจากความอยุติธรรมในทุกกรณี ขอให้บุคคลที่อยู่ที่นี้จงนำสิ่งที่ได้ยินจากฉันไปบอกเล่าแก่บุคคลที่เขาไม่ได้มาอยู่ ณ ที่นี้เพราะอาจจะเป็นไปได้ว่าคนที่ไม่ได้รับการบอกเล่านั้นอาจมีความจดจำได้ดีกว่าบุคคลที่ได้ยินไปจากฉันโดยตรงก็เป็นได้ และผู้ที่ได้รับความไว้วางใจเขาจะต้องไม่ให้ผู้ที่ไว้วางใจเขาประสบความผิดหวัง
โอ้ ผู้ศรัทธาทั้งหลายหากเมื่อถึงเวลาที่ฉันต้องจากพวกท่านไปแล้ว พวกท่านจงอย่าได้หันกลับไปต่อสู้เป็นศัตรูหลั่งเลือดกัน เหมือนอย่างเช่นสมัยแห่งความโง่เขลา ดังที่ได้ผ่านมา แท้จริงฉันได้มอบสิ่งหนึ่งแก่พวกท่านทั้งหลายซึ่งหากพวกท่านยึดเอาไว้อย่างมั่นคงแล้ว ท่านทั้งหลายจะไม่หลงออกไปสู่แนวทางที่เหลวไหลเป็นอันขาด สิ่งนั้นคือ อัลกุรอาน และซุนนะฮของฉัน
โอ้ ศรัทธาชนทั้งหลาย แท้จริงพระผู้เป็นเจ้าของพวกท่านนั้นมีพระองค์เดียว ต้นตระกูลของพวกท่านก็สืบมาจากเชื้อสายเดียวกัน นั่งคืออาดัม และอาดัมนั้นถูกสร้างมาจากดิน แท้จริงผู้ที่มีเกียรติที่สุดในหมู่พวกเจ้านั้นคือผู้ที่มีความยำเกรงต่ออัลลอฮ์ มากที่สุด คนอาหรับก็หาใช่จะเป็นคนดีเลิศเหนือคนชาติอื่น ๆ นอกจากพวกเขาจะมีความยำเกรงมากกว่าเท่านั้น
โอ้ ท่านทั้งหลายจงสดับฟังถ้อยคำของฉันให้ดี จงรู้เถิดว่ามวลมุสลิมนั้น ย่อมเป็นพี่น้องกันและจงรู้เถิดว่า บรรดามุสลิมก็คือภราดรภาพอันหนึ่งอันเดียวกันไม่มีสิ่งใดที่เป็นของพี่น้องมุสลิมด้วยกัน จะเป็นของมุสลิมโดยถูกต้อง นอกจากว่าเขาผู้นั้นจะให้โดยเต็มใจ และไม่คิดมูลค่า เพราะฉะนั้นจงอย่ากระทำการอยุติธรรมต่อตัวของท่านเอง
โอ้ พระผู้เป็นเจ้าข้าพระองค์ได้ประกาศสัจธรรมออกเผยแพร่แล้ว โอ้องค์พระผู้อภิบาล ขอได้โปรดเป็นพยานให้แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด"
เมื่อศาสดาเสร็จจากการให้โอวาทครั้งนี้แล้ว ท่านได้ลงจากหลังอูฐ ซึ่งเป็นพาหนะของท่านเพื่อทำนมาซซุฮ์ริ (นมัสการในช่วงบ่าย) และท่านได้นมาซอัสริด้วย (นมัสการในช่วงตะวันคล้อย) ท่านศาสดาได้สำนึกในพระเมตตาจากองค์พระผู้อภิบาล ที่ได้ทรงประทานความดีงามมากมายให้แก่ตัวท่าน และผลงานของท่าน และได้ให้เกียรติต่อการเป็นศาสนทูตของท่าน และท่านได้อ่านโองการจากคัมภีร์อัลกุรอาน ซูเราะฮ์ อัลมาอิดะฮ์ อายะฮ์ที่ 4 ซึ่งมีข้อความว่า "ในวันนี้ข้าได้ให้ศาสนาของข้าแก่พวกเจ้าไว้อย่างครบครัน ได้มอบกรุณาธิคุณของข้าให้แก่พวกเจ้าไว้อย่างครบถ้วน และข้ายินดีเลือกเฟ้นให้ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาของพวกเจ้า"
ท่านอบูบักร์เมื่อได้ยินท่านศาสดาอ่านโองการจากคัมภีร์อัลกุรอานท่านก็เกิดความเข้าใจ และทราบความหมายเป็นอย่างดีจากอายะฮ์ที่นำมานี้ เป็นสัญญาณบอกให้รู้ล่วงหน้าแล้วว่าท่านได้มาถึงช่วงปลายของชีวิต อบูบักร์รู้สึกไม่สบายใจ ท่านได้แอบร้องไห้อยู่เงียบ ๆ โอวาทของท่านแม้จะเป็นโอวาทที่สั้น แต่เป็นสิ่งที่มีคุณค่าบรรจุด้วยถ้อยคำตักเตือนที่ทรงคุณมหาศาล ชาวมุสลิมเรียกสุนทรพจน์ครั้งนี้ว่าคำสั่งเสียครั้งสุดท้าย
ศาสดามุฮัมมัด ได้ออกจากทุ่งอารอฟะฮ์ไปค้างคืนที่มุซดะลีฟะฮ์ในตอนเช้าท่านจึงเดินทางเข้าสู่มินา เพื่อเตรียมตัวที่จะขว้างเสาหิน อันเป็นสัญลักษณ์ของชัยฎอนมารร้าย เมื่อมาถึงกระโจมที่พักท่านได้ทำกุรบ่าน (การเชือดพลี) 63 ตัว ตามอายุของท่านขณะนั้น การทำฮัจญ์ครั้งนี้บางครั้งมีผู้เรียกว่า "การทำฮัจญ์อำลา" (ฮัจญะตุลวะดาฮ์) อันที่จริงนี่เป็นการฮัจญ์ใหญ่ครั้งเดียวของท่าน ที่เรียกดังนี้เพราะครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่ท่านได้เห็นนครมักกะฮ์ ปีนี้เป็นปีที่สิบเอ็ดของศักราชอิสลาม ศาสดามุฮัมมัด เริ่มมีอาการป่วยไข้เกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ แต่ท่านก็ไม่ได้หยุดยั้งในการคิดใคร่ครวญหาทางปกป้องศาสนาอิสลามให้พ้นจากภัยของศัตรู
ในรุ่งเช้าวันจันทร์วันหนึ่ง อาการอ่อนเพลียและไข้ของท่านศาสดาได้กำเริบสูงขึ้น และอาการเริ่มทรุดลงตามลำดับ ท่านทราบดีว่าเวลาที่ท่านได้กลับไปสู่พระผู้อภิบาลได้ใกล้เข้ามาแล้วและด้วยสภาพที่อ่อนระโหยนั้น ท่านได้วิงวอนออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบาว่า "โอ้พระผู้อภิบาล ขอทรงโปรดช่วยเหลือข้าพระองค์ให้พ้นจากความทรมานในความตายด้วยเถิด" และในที่สุดท่านก็ได้เสียชีวิตในวันจันทร์ที่สิบสองของเดือนเราะบิอุลเอาวัลในปีที่สิบเอ็ดหลังจากปีฮิจญเราะห์ (วันที่ 8 เดือนมิถุนายน ปี ค.ศ. 632) รวมอายุได้ 63 ปี
เมื่อข่าวศาสดาสิ้นชีวิตแพร่ขยายออกไปบรรดามุสลิมต่างเร่งรีบมายังมัสญิด เพื่อสืบให้รู้แน่ชัดว่าข่าวที่พวกเขาได้รับนั้นเป็นความจริงแค่ไหน เพราะไม่มีใครอยากเชื่อว่าศาสดาได้จากไปแล้วสหายคนสนิทของท่าน และเป็นพ่อตาของท่านคือ อุมัร อิบนุ อัล ค็อฏฏ็อบตกตะลึงต่อข่าวนี้ ท่านถึงกับชักดาบออกมาจากฝักพลางร้องประกาศว่าใครขืนพูดว่าศาสดาตายฉันจะตัดคอคนพูดทันที ขณะที่เกิดเหตุการณ์สับสนวุ่นวายกันอยู่นี้มีสาวกของศาสดาคนหนึ่งได้รีบนำเอาข่าวการสิ้นชีวิต ไปแจ้งให้อบูบักร์สหายคนสนิท และเป็นพ่อตาของท่านอีกคนหนึ่งให้ทราบ และท่านอบูบักร์ก็ได้รีบรุดมายังบ้านของท่านศาสดาท่านได้ออกไปยืนอยู่ที่บริเวณด้านหน้าของมันซิดและได้ประกาศแก่ผู้ชุมนุมว่า "หากพวกท่านมีความเคารพต่อท่านศาสดามุฮัมมัดอย่างจริงใจพึงรู้เถิดว่ามุฮัมมัดได้สิ้นชีวิตแล้ว แต่ถ้าหากท่านมีความเคารพบูชาต่อพระผู้เป็นเจ้าแล้วขอให้รู้เถิดว่าพระเจ้าทรงยั่งยืนไม่มีการดับสลาย" แล้วท่านอบูบักร์ก็ได้อัญเชิญคัมภีร์ อัลกุรอาน เพื่อประกาศให้บรรดาคนทั่วไป ณ ที่นั้นได้รำลึกและเตือนสติว่า "และมุฮัมมัดไม่ใช่อื่นใด นอกจากเป็นศาสนทูตคนหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีบรรดาศาสนทูตที่ได้ล่วงลับไปแล้วเป็นจำนวนมาก ฉะนั้นหากว่าเขาได้ตายลงหรือถูกฆ่าตายพวกเจ้าก็ไม่ควรที่จะหันกลับไปสู่ศาสนาเดิม" (อัลกุรอาน ซูเราะฮ์อาลิอิมรอน อายะฮ 144)
เมื่อคำประกาศนี้สิ้นสุดลง บรรดามุสลิมก็ได้คลายความสับสนว้าวุ่นทั้ง ๆ ที่พวกเขาก็ต่างเคยได้ยินโองการนี้มานับครั้งไม่ถ้วนก่อนที่อบูบักร์จะอัญเชิญมาเตือนกัน พวกเขายอมรับไม่ได้ก็เพราะว่าพวกเขาได้รับทราบข่าวการเสียชีวิตของศาสดาในเวลากระทันหัน และรวดเร็วโดยที่ไม่คาดคิดมาก่อน มาบัดนี้พวกเขาไม่สงสัยอีกแล้วว่า ศาสดาได้จากพวกเขาแล้ว อย่างไม่มีวันกลับเช่นเดียวกับบรรดาศาสดาอื่น ๆ ในอดีต

Wednesday, September 30, 2009

(ซูเราะฮฺอาลิอิมรอน)




وَلِلّهِ مَا فِي السَّمَاوَاتِ وَمَا فِي الأَرْضِ يَغْفِرُ لِمَن يَشَاءُ وَيُعَذِّبُ مَن يَشَاءُ وَاللّهُ غَفُورٌ رَّحِيمٌ ﴿١٢٩﴾
129. และสิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้าและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮฺเท่านั้น พระองค์จะทรงอภัยโทษให้แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และจะทรงลงโทษแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และอัลลอฮฺนั้นคือผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ (ซูเราะฮฺอาลิอิมรอน)
..........................................................................

Tuesday, September 29, 2009

อย่าตายเว้นแต่เป็นมุสลิม


มนุษย์ทุกคนที่อยู่บนโลกนี้ ย่อมมีอายุจำกัด ทุกๆ คนนั้น ต่างก็รอความตายที่จะมาหาพวกเขา เพราะความตายนั้นเป็นสิ่งที่หนีไม่พ้น ดังที่อัลลอฮฺได้กล่าวตรัสไว้ว่า
قُلْ إِنَّ الْمَوْتَ الَّذِي تَفِرُّونَ مِنْهُ فَإِنَّهُ مُلاَقِيكُمْ ثُمَّ تُرَدُّونَ إِلَى عَالِمِ الْغَيْبِ وَالشَّهَادَةِ فَيُنَبِّئُكُم بِمَا كُنتُمْ تَعْمَلُونَ (سورة الجمعة:8)
“จงกล่าวเถิด (มุหัมมัด) แท้จริงความตายที่พวกเจ้ากำลังวิ่งหนีจากมันนั้นย่อมต้องมาเจอพวกเจ้า แล้วพวกเจ้าก็จะถูกนำกลับไปยังพระผู้อภิบาลผู้ซึ่งรอบรู้สิ่งที่เปิดเผยและความลับ แล้วพระองค์ก็จะบอกพวกเจ้าถึงสิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำไว้” (อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัล- ญุมุอะฮฺ: 8)
ด้วยเหตุที่ความตายเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่พ้นและไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงเวลาที่แต่ละคนจะสิ้นชีวิต ดังนั้นมนุษย์จึงต้องระแวดระวังในการดำเนินชีวิต โดยดูแลพฤติกรรมและการกระทำของตนให้อยู่ในกรอบที่อัลลอฮฺพึงพระทัยอยู่เสมอ อย่าให้สิ้นลมในสภาพที่พระองค์ทรงกริ้ว
อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ว่า
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُواْ اتَّقُواْ اللهَ حَقَّ تُقَاتِهِ وَلاَ تَمُوتُنَّ إِلاَّ وَأَنتُم مُّسْلِمُونَ (سورة آل عمران:102)
“โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงยำเกรงต่ออัลลอฮฺด้วยความยำเกรงที่แท้จริงเถิด และอย่าได้ตายเว้นแต่ในสภาพที่พวกเจ้านั้นเป็นมุสลิม” (อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อาล อิมรอน : 102)
เพราะฉะนั้น อิสลามจึงได้เน้นหนักเกี่ยวกับการปฏิบัติศาสนกิจและคุณงามความดีต่างๆ ที่จะใช้เป็นเสบียงไปยังวันปรโลกข้างหน้า และได้ตักเตือนให้มนุษย์สำนึกถึงความตายที่จะมาถึง เพราะถึงแม้มนุษย์ต่างก็รู้ว่าตนต้องตาย แต่ส่วนใหญ่ก็หลงลืมและไม่ยอมคิด ปล่อยปะละเลยหน้าที่และการเตรียมพร้อมเพื่อจะเผชิญกับมัน

อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ว่า
وَجَاءتْ سَكْرَةُ الْمَوْتِ بِالْحَقِّ ذَلِكَ مَا كُنتَ مِنْهُ تَحِيدُ، وَنُفِخَ فِي الصُّورِ ذَلِكَ يَوْمُ الْوَعِيدِ، وَجَاءتْ كُلُّ نَفْسٍ مَّعَهَا سَائِقٌ وَشَهِيدٌ، لَقَدْ كُنتَ فِي غَفْلَةٍ مِّنْ هَذَا فَكَشَفْنَا عَنكَ غِطَاءكَ فَبَصَرُكَ الْيَوْمَ حَدِيدٌ (سورة ق:19-22)
“อาการเจ็บปวดแห่งความตายนั้นจะต้องมาถึงอย่างสัจแท้แน่นอน นั่นเป็นสิ่งที่พวกเจ้าต่างหลีกหนี และจะมีการเป่าลงในแตร นั่นคือวันเวลาแห่งสัญญา และทุกชีวิตจะมาพร้อมกับผู้จูงและสักขีพยาน ขอสาบานว่าแท้จริงเจ้านั้นอยู่ในความหลงลืมจากสิ่งเหล่านี้ แล้วเราก็ได้เปิดสิ่งที่ปกปิดอยู่ออกไปจากเจ้า ดังนั้นสายตาของเจ้าในวันนั้นจะแหลมคมยิ่ง(คือจะได้เห็นความน่ากลัวต่างๆ ที่อัลลอฮฺทรงเตือนมาก่อนหน้าแล้ว)” (อัลกุรอาน สูเราะฮฺ ก๊อฟ: 19-22)
การเตรียมพร้อมเพื่อเผชิญกับความตายคือการมุ่งมั่นปฏิบัติความดีตั้งแต่ในขณะที่ยังมีโอกาสปฏิบัติ นั่นคือเวลาที่ยังสามารถใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ เพราะเมื่อความตายมาถึงการงานทั้งหมดก็จะตัดขาดจากมนุษย์ ความดีต่างๆ ที่ทำมาก็จะจบลงเพียงแค่นั้น ยกเว้นความดีสามประการเท่านั้นที่จะยังส่งผลบุญถึงผู้ตายแม้ว่าจะอยู่ในโลกสุสาน
ดังที่ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวไว้มีความว่า “เมื่อมนุษย์ผู้หนึ่งเสียชีวิต การงานของเขาก็จะตัดขาดจากเขา ยกเว้นสามประการ คือ การให้ทานของเขาที่เป็นคุณูปการอยู่ หรือความรู้ที่เป็นประโยชน์สืบทอด หรือบุตรที่ดีที่คอยขอพรให้เขา” (รายงานโดย อัต-ติรมิซีย์)
กุญแจสำคัญที่สุดในการเตรียมตัวเพื่อพบกับความตายคือความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ(ตักวา) เพราะตักวาคือศูนย์รวมของความสำนึกดีทั้งปวง ที่คอยปลุกเร้าให้มนุษย์พึงกระทำความดีและละทิ้งความชั่ว
ด้วยเหตุนี้อัลลอฮฺจึงได้สั่งให้ผู้ศรัทธาทั้งหลายยำเกรงต่อพระองค์ด้วยความบริสุทธ์ใจและจริงใจ ถึงที่สุดแล้วเมื่อมีความยำเกรงอยู่ในตัว มนุษย์ก็จะไม่จากโลกนี้ไปเว้นแต่ในสภาพที่เป็นมุสลิมเท่านั้น อินชาอัลลอฮฺ
อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ว่า
وَتَزَوَّدُواْ فَإِنَّ خَيْرَ الزَّادِ التَّقْوَى (سورة البقرة:197)
“และจงเตรียมเสบียงเถิดแท้จริงเสบียงที่ดีที่สุดนั้นคือความยำเกรง” (อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ: 197)
- ข้อคิดที่ได้รับจากบทเรียน
1. ความตาย คือข้อเท็จจริงของชีวิตซึ่งมนุษย์มิอาจเลี่ยงพ้น
2. มนุษย์จำเป็นต้องเตรียมพร้อมเพื่อเผชิญกับความตาย ด้วยความสำนึกและไม่หลงลืม
3. การเตรียมพร้อมเพื่อเผชิญกับความตาย คือ การปฏิบัติความดีที่จะเป็นเสบียงเมื่อได้สิ้นชีวิตแล้ว
4. เมื่อสิ้นชีวิตแล้วการงานต่างๆ ของมนุษย์ก็จะถูกตัดขาดเว้นเพียงสามประการเท่านั้น
5. ความยำเกรง คือ กุญแจสำคัญที่ดีที่สุดในการใช้เป็นเสบียงเพื่อเตรียมพบกับความตาย
- คำถามหลังบทเรียน
1. ท่านคิดว่าความตายเป็นสิ่งที่ท่านปรารถนาหรือไม่? เพราะเหตุใด?
2. ท่านคิดว่าเมื่อใดคือเวลาที่ท่านพร้อมจะพบกับความตาย? กรุณาแสดงความคิดเห็น
3. มีสิ่งใดบ้างที่ท่านได้เตรียมไว้แล้วเพื่อใช้เป็นเสบียงของท่านในโลกหน้า?
ลิงก์ร่วม
30 บทเรียนอิสลามสำหรับเยาวชนและผู้สนใจ ( เรื่องที่เกี่ยวข้อง ) - ( ไทย )

แม้ต้องเดินไปเพียงลำพัง ฉันก็จะไป

แม้ต้องเดินไปเพียงลำพัง ฉันก็จะไป
โดย Sukh

ฉันเกิดมาในครอบครัวที่นับถือพุทธแท้ๆ เรียนหนังสือมัธยมต้นในโรงเรียนที่เป็นคาธอลิก เรียนมัธยมปลายในโรงเรียนที่เป็นคริสเตียน และเรียนไบเบิ้ลวันละหนึ่งชั่วโมงมาตั้งแต่เล็กจนโต
เพราะอยู่ในหลักสูตรของโรงเรียน แต่ถึงแม้จะต้องอ่านต้องท่องทุกวัน น่าประหลาดใจที่ตอนนั้นฉันไม่สนใจจะทำความเข้าใจกับมันมากนัก เพราะลึกๆ แล้วฉันรู้ว่า มีสิ่งหนึ่งหรือใครคนหนึ่ง "เพียงผู้เดียว" ที่ยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์คนไหนๆ หรือวัตถุใดๆ เป็นผู้กำหนดชีวิตเราอยู่
ฉันผ่านชีวิตมา 32 ปีโดยไร้หลักยึด รู้สึกเสมอว่าชีวิตขาดบางอย่างไป โลกนี้ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจ และความตายเป็นเรื่องน่าหวาดกลัว ฉันลอยละล่องไปในชีวิตอย่างไม่มีจุดหมาย ไม่มีที่มาที่ไป จนวันหนึ่ง ธุรกิจของทางบ้านบังคับให้ฉันต้องคุมคนงานไปตกแต่งโรงแรมที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
วันเดินทางตรงกับคืนวาเลนไทน์พอดี ฉันนั่งบูดบึ้งหงุดหงิดอยู่บนเครื่องบิน คนอื่นๆ ฉลองวันแห่งความรักกัน แต่ฉันกลับต้องนั่งบนเครื่องบิน เดินไปทางไปยังประเทศบ้าๆที่ฉันไม่รู้จักมาก่อนเลยด้วยซ้ำ ฉันอยากฉลองวาเลนไทน์เหมือนคนอื่นๆ บ้าง...
เมื่อไปถึง ฉันเริ่มต้นทำงานท่ามกลางผู้คนและวิถีชีวิตที่ฉันไม่คุ้นเคย ภาษาที่ฉันฟังไม่เข้าใจ แต่รู้สึกคุ้นหูอย่างประหลาด แต่ฉันรู้อย่างหนึ่งว่าถ้าฉันออกไปเดินตลาด ตอนเที่ยงและบ่ายจะมีช่วงเวลาที่อยู่ๆ คนก็หายเงียบไปหมดทั้งถนน เหลือแต่คนแปลกถิ่นอย่างฉันเดินอยู่อย่างงงๆ ว่าผู้คนที่นี่เขาหายไปไหนกัน และเมื่อตั้งคำถามกับคนท้องถิ่น ก็ได้รู้ว่า "เขาไปละหมาดกัน"
ตอนนั้นชีวิตฉันไม่รู้จักมุสลิมแม้แต่คนเดียว ฉันเริ่มสงสัยว่าอะไรหนอที่ทำให้คนทั้งประเทศนี้และประเทศข้างเคียง ลุกขึ้นมาทำตัวอยู่ในกรอบกฎเกณฑ์เดียวกันหมดได้ฉันเริ่มสังเกตการใช้ชีวิตของเขาเหล่านั้นอย่างประทับใจ
หลังจากนั้นเมื่อฉันกลับเมืองไทย กลับมาทำงานแปลที่เป็นอาชีพหลักของฉัน ความสนใจที่มีเป็นทุนเดิมทำให้ฉันบอกกับเจ้านายว่า "พี่คะ ถ้ามีงานเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม ขอหนูทำนะคะ" ตอนนั้นเป็นช่วงใกล้เดือนเราะมะฎอน(เดือนแห่งการถือศีลอด)พอดี แล้วฉันก็ได้ทำจริงๆ สารคดีเรื่องแรกที่ฉันได้ทำชื่อว่า "Muhummad, legacy of the prophet" เรื่องที่สองชื่อว่า "Inside Mecca"
ฉันใช้วิธีศึกษาทางลัด โทรหาพี่ชายมุสลิมีนคนเดียวที่ฉันรู้จักในตอนนั้น เพื่อขอคำแนะนำ สารคดีสองเรื่องนั้นกลายเป็นวิชา Intro to Islam ของฉันไปโดยปริยาย ฉันรู้จักอิสลามมากขึ้น รู้จักวิถีชีวิตแบบมุสลิมมากขึ้น หนังสือเล่มแล้วเล่มเล่าที่ฉันเปิดอ่านจนจบ เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง เว็บไซต์มากมายที่เปิดเข้าไปดู ไปนั่งฟังอาจารย์บรรจงสอนที่สันติชน ฉันพิศวงกับสิ่งที่ได้ค้นพบ นี่แหละที่ฉันต้องการมานาน คือความเชื่อที่มีหลักการ แม้จะเต็มไปด้วยกฎระเบียบที่ดูเหมือนจะทำไม่ได้ แต่ฉันก็เริ่มทำไปทีละอย่าง เพิ่มขึ้นทีละข้อ แน่ล่ะ เพื่อนๆ ล้อเลียนฉันตลอดเวลา ยังดีที่ไม่มีปัญหากับทางบ้าน เพราะที่บ้านยอมรับการตัดสินใจของฉันเสมอ
แต่ในใจฉันมุ่งมั่นแล้วว่า ฉันจะรับอิสลาม ฉันจะเดินไปหาอัลลอฮฺ และถึงแม้เส้นทางที่ฉันกำลังจะเดินไปนี้ ไม่มีใครเห็นด้วยหรือเดินไปกับฉันเลยแม้แต่คนเดียว ฉันก็จะยังเดินต่อไป โดยไม่หันกลับมามองเส้นทางเดิมอีกแล้ว
จนถึงวันนี้ เกือบสี่ปีผ่านไป ฉันเป็นมุสลิมมะฮฺเต็มตัว ฉันภูมิใจที่จะบอกใครๆว่าฉันเป็นมุสลิม ฉันไม่เหงาอีกแล้ว เพราะรู้ว่าอัลลอฮฺทรงอยู่กับฉันเสมอ พระองค์ไม่เคยมองข้ามสิ่งต่างๆที่ฉันทำ ทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี ฉันไม่กลัวความตาย เพราะรู้ว่าที่นั่นคือบ้านที่แท้จริงของฉันดุนยานี้เป็นเพียงแค่ทางผ่าน ฉันจึงไม่ยึดถือยึดมั่นกับสิ่งใดมากนัก ฉันบอกกับตัวเองทุกวัน ว่า ..
ฉันภูมิใจที่ได้เป็นบ่าวของอัลลอฮฺ ...
ที่มา เว็บบอร์ดอันนิสาอ์

สัมภาษณ์มุสลิมใหม่ สุไรยา (พัสทร) ชาญชาติ


สัมภาษณ์มุสลิมใหม่ สุไรยา (พัสทร) ชาญชาติ
﴿مقابلة مع مسلمة جديدة : ثريا شان شات﴾
] ไทย – Thai – تايلاندي [


เว็บไซต์ อิสลาม มอร์




ผู้ตรวจทาน : ซุฟอัม อุษมาน

2009 - 1430









﴿مقابلة مع مسلمة جديدة : ثريا شان شات﴾
« باللغة التايلاندية »


موقع إسلام مور




مراجعة: صافي عثمان

2009 - 1430



ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ

สุไรยา (พัสทร) ชาญชาติ
"ถึงเธอจะให้ฉันพันล้าน ฉันก็ไม่เปลี่ยน"

ประวัติส่วนตัว
สุไรยา (พัสทร) ชาญชาติ
- บ้านเกิดอยู่ที เกาะสมุย จ.สุราษฏร์ธานี มีพี่น้อง 6 คน เป็นน้องคนสุดท้อง (พ่อแม่ รักมาก) ปัจจุบันอายุ 37 ปี
- เรียนจบปริญาตรี ม.ราชภัฏพระนคร สาขาการจัดการทั่วไป วิชาเอก ภาษาอังกฤษ ธุรกิจ
ประสบการณ์การทำงาน
- ทำงานบริษัท Agency Tour ของคนต่างชาติ(สวิสต์เซอร์แลนด์) 2 ปี
- ประชาสัมพันธ์ สมาคมโรงแรมไทย 5 ปี
- ประชาสัมพันธ์ Agency Tour ที่ประเทศฮ่องกง 2 ปี
- เปิดทำบริษัททัวร์ของครอบครัวที่เกาะสมุย 5 ปี
- Agency Tour ที่ซอย นานา ถ.สุขุมวิท 6 เดือน
- ปัจจุบัน เปิดบริษัท Agency Tour หุ้นกับเพื่อนชาวอาหรับโอมาน
บริษัท Muscat travel จำกัด
21/10 Sukumvit Soi 5 Sukumvit Rd., BKK 10110 Thailand.
Tel : 02 - 655 - 3099 Fax : 02 - 655 - 3098
รับจองตั๋วเครื่องบิน , จองโรงแรม , การท่องเที่ยว , ส่งออกสินค้า(เป็นตัวแทนการติดต่อ) ฯลฯ

สนทนา-ถาม-ตอบ
Islammore : เพราะอะไรคนอาหรับถึงยอมลงทุนให้กับสุไรยาค่ะ ?
Thuraiya : เพราะ เขาเชื่อใจและไว้ใจเรา เราจะทำตามสัญญาและคำพูดทุกครั้ง และการทำงานในการติดต่อลูกค้า จะทำจนกระทั่งสำเร็จ หรือบรรลุเป้าหมาย เขามองเห็นถึงความพยายามที่เราช่วยเขามากกว่าโดยไม่ต้องพูดว่า เราเป็นคนดีนะ เราทำได้นะ ? เขาจะทราบเองโดยการพูดคุยและติดต่องานด้วย เขาจะเป็นคนชมเรากับเพื่อนๆอาหรับอื่นๆ ให้ได้รับทราบต่อๆกันค่ะ....
วันนี้ทางหุ้นส่วนก็บินมาจากโอมาน พาภรรยาและลูกมาเที่ยวด้วยค่ะ..(ยิ้ม)
ทางอิสลามมอร์ได้พบกับทางหุ้นส่วนของสุไรยา ซึ่งพาภรรยาและลูกที่น่ารักมากค่ะ มาเที่ยวดูงานที่เมืองไทย...

Islammore : เปลี่ยนศาสนาได้นานเท่าไหร่แล้วค่ะ ?
Thuraiya : เปลี่ยนได้ 5 เดือนแล้วค่ะ...^_^...

Islammore : ตอนนี้มีความรู้สึกอย่างไรค่ะ ?
Thuraiya : รู้สึกมีความสุขมากอย่างบอกไม่ถูก ไม่เศร้าใจ ไม่เครียด ไม่วุ่นวายและสับสนเหมือนแต่ก่อน มีความสุขจริงๆค่ะ ..(พูดไปยิ้มไป)

Islammore : สาเหตุการเข้ารับอิสลาม ?
Thuraiya : ทำงานคลุกคลีอยู่กับเพื่อนๆเป็นมุสลิมตลอดมา และแบบอย่างมุสลิมที่ดีทั้งของคนไทย และคนอาหรับ ทำให้เห็นหลายสิ่งหลายอย่าง และความสุภาพของคนอาหรับที่ติดต่อทำธุรกิจด้วยกัน
วันหนึ่งเพื่อนได้ถามว่าอยากเรียนรู้เกี่ยวกับมุสลิมไหม อยากรู้เกี่ยวกับอิสลามไหม และเล่าเกี่ยวกับอัลลอฮ์ให้ฟัง พอฟังไปเรื่อยๆ เลยตัดสินใจบอกเพื่อนว่าฉันจะเข้ารับอิสลาม เพื่อนดีใจมากโทรศัพท์ไปหาเพื่อนๆ และอาจารย์เพื่อให้ช่วยในเรื่องต่างๆค่ะ

Islammore : แต่ก่อนเคยคิดที่จะเปลี่ยนศาสนาไหม ?
Thuraiya : ไม่ เคยเลยค่ะ..ไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนเป็นมุสลิม และไม่เคยคิดที่จะศึกษาด้วย และไม่ชอบมุสลิมด้วย เพราะเห็นแต่ข่าวที่มีแต่ความรุนแรง มองมุสลิมในอีกรูปแบบหนึ่งเลย และเคยพูดว่า "ชาตินี้ฉันจะไม่มีวันแต่งงานกับมุสลิมเป็นอันขาด"

Islammore : เพื่อนๆ เป็นอย่างไรบ้างค่ะ หลังจากทราบแล้วว่าเราเปลี่ยนศาสนาเป็นอิสลาม ?
Thuraiya :
เพื่อนถามว่า : เธอเปลี่ยนเพราะเธอจะแต่งงานกับมุสลิมใช่ไหม มุสลิมจ้างเธอเท่าไหร่ ถ้าฉันให้เธอ 1 ล้าน ให้เธอเปลี่ยนมาเป็นศาสนาเดิมจะเอาไหม ?
เลยตอบเพื่อนว่า : ถึงเธอจะให้ฉัน พันล้าน ฉันก็ไม่เปลี่ยนอย่างแน่นอน !
เพื่อน บางคนที่รู้ว่าเราเป็นมุสลิม ก็พยายามพูดให้กลับมาศาสนาเดิม บางคนก็รับได้ไม่มีปัญหาอะไร ส่วนบางคนก็หายหน้าไปเลย บางคนคุยกันทางโทรศัพท์ติดต่องานกัน เขาก็ยังไม่รู้ว่าเราเปลี่ยนศาสนาแล้ว

Islammore : แล้วครอบครัวหล่ะค่ะ ?
Thuraiya : แม่ รู้ก่อนใครเลยค่ะ (บอกแม่ก่อนคนแรก) วันนั้นกลับบ้าน เพื่อตัดสินใจบอกกับแม่ ใจยังเต้นไม่หายเลย พอบอกแม่ว่าเปลี่ยนมารับอิสลามแล้ว แม่ ก็นิ่งเฉยและไม่พูดอะไรเลย แต่แม่นัดกับพระสงฆ์เพื่อจะพรมน้ำมนต์ ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ให้ แม่บอกว่าให้ไปครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายเพื่อแม่ เลยต้องไปกับแม่ค่ะ "เพื่อแม่" (แม่คงนึกว่าไปพรมน้ำมนต์แล้วคงกลับมาศาสนาเดิม)
ส่วนพี่สาวทราบหมดแล้ว เหลือ พ่อ กับ พี่ชายคนโต ที่ยังไม่รู้ แล้ววันนี้ก็ได้นัดเจอกับพี่ชายคนโต อินชาอัลลอฮ์ วันนี้คงได้ทราบ
สำหรับพ่อ ตอนนี้พ่อเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เคยเป็นเมื่อสามปีที่แล้ว แล้วรักษาหายไป ตอนนี้กลับมาเป็นใหม่ และเป็นมะเร็งเนื้องอกใกล้ตับ ซึ่งหมอนัดเร็วๆนี้เพื่อทำการตรวจอีกครั้ง และปรึกษากับญาติว่าจะรักษากันอย่างไรดี อยากจะบอกกับพ่อมาก แต่กลัวว่าท่านจะทำใจไม่ได้ พ่อเป็นคนที่รักสุไรยามาก และเกรงว่าอาการพ่อจะทรุดลงเมื่อรู้ความจริง อินชาอัลลอฮ์ จะต้องบอกให้ท่านทราบเร็วๆนี้แน่นอนค่ะ (ร้องไห้ ...T_T...) เพราะอยากให้พ่อรู้จักอัลลอฮ์ก่อนที่จะสายไป

Islammore : ลูกค้าที่ติดต่อด้วยเป็นอย่างไรบ้างเมื่อทราบว่าเราเปลี่ยนศาสนา ?
Thuraiya : ลูกค้า อาหรับจะดีใจมาก และใจดีด้วยจะซื้อของมาให้ เอาผ้าปูละหมาด อินทผลัม ฮิญาบ และอื่นๆอีก แต่นั่นเป็นเพียงวัตถุที่ได้รับ ส่วนด้านจิตใจคือความเคารพและเกรียติที่ได้จากเพื่อนๆ มีความสุขมากค่ะ

Islammore : คลุมฮิญาบวันแรกรู้สึกอย่างไรค่ะ ?
Thuraiya : ก่อน คลุมฮิญาบหนึ่งวันมีลูกค้าฝรั่งมาที่ร้าน พูดจาแทะโลม น่าเกียจมาก และไม่มีมารยาท พออีกวันซึ่งเป็นวันที่ตัดสินใจคลุมฮิญาบ ลูกค้าชุดเดิมเข้ามาที่ร้าน พอเห็นว่าเราคลุมฮิญาบ พวกเขาไม่กล้าพูดอะไรที่ไม่ดีเลย นั่งสงบเสงี่ยมกันเรียบร้อยมาก ต่างจากเมื่อวานหน้ามือกับหลังมือเลย น้องที่ทำงานถามเราว่า ฝรั่งพวกนี้มันเป็นอะไรไม่เห็นเหมือนเมื่อวานเลย...
นี่คือการได้รับเกียรติที่พระองค์ทรงมอบให้จากการคลุมฮิญาบตั้งแต่วันแรกที่ ตัดสินใจคลุมฮิญาบ และแต่ก่อนไม่เคยสระผมเอง ต้องไปที่ร้านสระผมทำผมเป็นประจำ เดี๋ยวนี้สระผมเองจึงรู้สึกดีขึ้นและประหยัดเงินขึ้นด้วยค่ะ

Islammore : ศึกษาศาสนาจากทางด้านไหนบ้างค่ะ ?
Thuraiya : มีเพื่อนที่เป็นมุสลิมเอาหนังสือมาให้อ่าน อ่านอัลกุรอานแปลไทยด้วย และมีอาจารย์ที่ปรึกษาประจำตัวค่ะ(อ.อัศรี) อาจารย์เป็นคนดีมากคอยบอกคอยสอนได้ทุกเรื่อง อาจารย์จะคอยแนะนำ เพราะมีคำถามมากมาย กลัวว่าเราจะปฏิบัติไม่ถูกต้อง และบางอย่างเห็นมุสลิมเดิมๆปฏิบัติ ในสิ่งที่ผิด บางครั้งไม่แน่ใจว่าสิ่งไหนถูกสิ่งไหนผิดกันแน่ค่ะ
สุไรยา เข้าใจว่าทุกชนชาติทุกศาสนามีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นอาหรับ หรือคนไทย หรือแม้แต่คนชาติอื่นๆ เรามีสิทธิ์เลือกที่จะรับในสิ่งที่ดีที่ถูกต้อง สิ่งที่ไม่ถูกต้องก็จะไม่นำมาใช้ ปล่อยทิ้งไว้กับพวกเขาเองจะดีกว่าค่ะ

Islammore : มีความรู้สึกใกล้ชิดกับพระองค์อัลลอฮ์แค่ไหนค่ะ ?
Thuraiya : มี ความรู้สึกว่าพระองค์ทรงคุ้มครองเราตลอดเวลา คอยปกป้องไม่ให้คนที่ไม่ดีเข้ามาใกล้หรือมาทำร้ายเรา และมีความรู้สึกผ่านทางความฝันค่ะ อาจจะเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลแต่ละคนที่อัลลอฮ์ได้ทรงส่งสัญญาณให้

Islammore : อยากฝากบอกอะไรถึงมุสลิมค่ะ?
Thuraiya : อยาก บอกว่าถ้าสุไรยาได้เกิดมาในครอบครัวมุสลิม คงจะทำอะไรได้ดีกว่านี้ค่ะ แต่ก็แค่คิดทุกอย่างถูกกำหนดมาแล้วค่ะ เลยอยากให้มุสลิมตั้งแต่เกิด ที่เขามีโอกาสได้เกิดมาในครอบครัวมุสลิมปฏิบัติตนให้ดีและถูกต้อง และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคนต่างศาสนิก และกับมุสลิมใหม่ด้วยค่ะ

Islammore ได้พุดคุยกับ"สุไรยา"หลาย เรื่องและพอสรุปได้จากการเข้ารับอิสลามของเธอคือ การที่เธอได้เห็นแบบอย่างที่ดีของเพื่อนมุสลิม และซึมซับการปฏิบัติตน และรับที่จะเรียนรู้และอยู่ร่วมกับเพื่อนที่ไม่ใช่ศาสนาเดียวกัน แม้จะมีแบบอย่างที่ไม่ดีบ้าง เมื่อเธอได้ศึกษาเพิ่มเติม เธอจึงเลือกในสิ่งที่ดีนำมาปฏิบัติ เพื่อให้ตรงตามหลักการที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติไว้ สิ่งที่เราได้สัมผัสกับเธอคือ ความสุข และความสงบอย่างแท้จริง ที่เธอได้รับจากการก้าวเข้ามาในศาสนาอิสลาม เธอได้รับความคุ้มครองจากพระองค์อัลลอฮ์ เพราะเธอเข้าหาพระองค์และขอต่อพระองค์เท่านั้น
พระองค์อัลลอฮ์ รัก และคุ้มครอง มุสลิมทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้เข้ามาใหม่ หรือเป็นมุสลิมตั้งแต่เกิด ถ้ามุสลิมผู้นั้นรัก และศรัทธาต่อพระองค์ด้วยหัวใจอย่างแท้จริงค่ะ

Admin Islammore.

http://islammore.com/main/content.php?page=sub&category=43&id=728

มุสลิมใหม่ ซอลาฮุดดีน (ภูมินทร์) หวังทรงธรรม


สัมภาษณ์มุสลิมใหม่ ซอลาฮุดดีน (ภูมินทร์) หวังทรงธรรม
﴿مقابلة مع مسلم جديد : صلاح الدين وانج سونج تهام﴾
] ไทย – Thai – تايلاندي [


เว็บไซต์ อิสลาม มอร์




ผู้ตรวจทาน : ซุฟอัม อุษมาน

2009 - 1430









﴿مقابلة مع المسلم الجديد : صلاح الدين وانج سونج تهام﴾
« باللغة التايلاندية »


موقع إسلام مور




مراجعة: صافي عثمان

2009 - 1430



ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ

ซอลาฮุดดีน (ภูมินทร์) หวังทรงธรรม
"ชีวิตกับศาสนาเป็นเรื่องเดียวกัน"

ประวัติส่วนตัว
ซอลาฮุดดีน (ภูมินทร์) หวังทรงธรรม
- เป็นคนกรุงเทพ โดยกำเนิด บ้านอยู่ที่เจริญกรุง 67 พี่น้อง 5 คน (เสียชีวิต 1 คน) ปัจจุบัน อายุ 40 ปี
- จบการศึกษา ปริญญาตรี คณะวิศวะอุตสาหการ มหาวิทยาลัย พระจอมเกล้าธนบุรี
- สถานภาพ แต่งงานแล้ว (ภรรยากำลังมีบุตร อินชาอัลลอฮ์)
- ปัจจุบัน เป็นหัวหน้างาน อยู่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง

สนทนา ถาม-ตอบ
Islammore : เข้าอิสลามได้นานแค่ไหนแล้ว ?
ซอลาฮุดดีน : นับจนถึงวันนี้ ประมาณ 1 ปี 7 เดือน

Islammore : ทุกคนมีเหตุผล ของซอลาฮุดดีน อะไรคือสาเหตุที่เข้ารับอิสลาม ?
ซอลาฮุดดีน : เพราะความแตกต่างในการปฏิบัติตนของมุสลิมด้วยกันเอง ความจริงแล้ว ช่วงที่ผมทำงานได้รู้จักกับผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งทำให้เห็นข้อแตกต่างในมุสลิมที่ผมเคยรู้จัก คือ ปกติมุสลิมที่ผมคบอยู่เวลาไปกินข้าว เราจะเลือกร้านข้าวมันไก่ ซึ่งร้านนั้นขายแต่ไก่อย่างแน่นอน แม้จะไม่ใช่ร้านอาหารอิสลามก็ตาม พวกเพื่อนมุสลิมที่รู้จักก็กินข้าวกับผมได้ปกติ โดยไม่มีปัญหาอะไร แต่เพื่อนคนนี้ไม่ยอมกิน บอกว่ากินไม่ได้ ผมจึงถามเพื่อหาคำตอบ แล้วจึงได้รู้คำตอบที่ไม่เคยทราบเลย
แล้วเขาเป็นคนที่ละหมาดครบ 5 เวลา ทำให้ผมรู้สึกถึงความดีที่แตกต่างจากมุสลิมคนอื่นๆ จึงทำให้มีความรู้สึกว่า "ชีวิตกับศาสนาเป็นเรื่องเดียวกัน"
การตัดสินใจของผม มีส่วนหนึ่งจากผู้หญิงคนหนึ่ง ปัจจุบัน คือ ภรรยา แต่ไม่ใช่ว่าผมเข้ารับเพราะการแต่งงานอย่างเดียว คือถ้าศึกษาแล้วไม่ใช่ ผมก็คงไม่ได้รับอิสลาม ทุกอย่างก็คงจะจบไป แต่เมื่อผมได้ศึกษา และเปรียบเทียบแล้ว ทำให้รู้สึกว่า นี่คือสิ่งที่ค้นหามาตลอด และคงไม่ยอมปล่อยให้หลุดลอยไปอย่างแน่นอน

Islammore : มุมมองมุสลิมก่อนเข้ารับอิสลาม กับหลังเข้ารับแล้ว แตกต่างกันหรือไม่อย่างไร ?
ซอลาฮุดดีน : ของผมไม่ค่อยแตกต่างเท่าไหร่ และไม่มีมุมมองในแง่ลบกับมุสลิม เพราะสมัยเป็น เด็กนักเรียน ได้เรียนในโรงเรียนที่เจ้าของเป็นมุสลิม แต่เป็นโรงเรียนสามัญนะครับ อาหารที่กินในโรงเรียนเป็นอาหารมุสลิม เพื่อนๆที่โรงเรียนก็เป็นมุสลิม จึงได้อยู่ร่วมกับสังคมมุสลิมมาโดยตลอด ฉะนั้นการที่มุสลิมจะมีทั้งดี และไม่ดี จึงเป็นเรื่องปกติของสังคมมนุษย์
ผมจะมองว่ามุสลิมที่ไม่ได้อยู่ในหลักการศาสนา เป็นเรื่องของตัวบุคคล ไม่ได้เกี่ยวกับคำสอนของศาสนา เพราะมนุษย์ในทุกศาสนา มีทั้งคนดี และคนเลว จึงเป็นเรื่องที่ผมมองว่าไม่แตกต่างและไม่ได้คาดหวังว่ามุสลิมทุกคนจะต้อง เป็นคนดีทั้งหมด มุมมองก่อนและหลังรับอิสลามจึงไม่ค่อยมีผลต่อการนับถือศาสนาอิสลามของผม

Islammore : วิถีการดำเนินชีวิตต่างไปจากเดิมหรือไม่ ?
ซอลาฮุดดีน : สำหรับผม คิดว่าตนเองไม่ได้เปลี่ยนอะไร แต่คนรอบข้างจะบอกว่าเราเปลี่ยนไป อาจ เป็นเพราะแต่ก่อนที่นับถือศาสนาพุทธ ผมก็ไม่ได้ไหว้รูปปั้น รูปภาพ หรือหลุมฝังศพของบรรพบุรุษที่ตายไป และศาลเจ้าต่างๆ ด้วยความเคารพ ผมไหว้และปักธูปตามที่ญาติๆสั่งให้ทำ แต่จิตใจไม่เคยมีความรู้สึกถึงความเคารพเลยแม้แต่น้อย เพราะ ตามหลักศาสนาพุทธที่ได้ศึกษามา แท้จริงแล้วการสร้างรูปปั้นต่างๆ เกิดขึ้นหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ผ่านมา 500 ปี และหลักคำสอนของศาสนาพุทธไม่เคยมีการไหว้รูปปั้น หรือทำเครื่องรางของขลังแบบสมัยปัจจุบันนี้
วิถีชีวิตโดยรวมเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ทำให้ได้อยู่กับสิ่งที่เรียกว่าความดีตลอดเวลา เช่นการละหมาด 5 เวลา ชีวิตและศาสนาได้รวมมาเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะแต่ก่อนที่ผมเป็นพุทธ อยากทำวัตร 5 เวลา เมื่อเห็นมุสลิมสามารถละหมาด 5 เวลาได้ ผมเลยอยากที่จะแข่งบ้าง แต่ก็ไม่สำเร็จ มันไม่มีแรงกระตุ้นหรืออยากที่จะทำ และไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร
เมื่อก่อนคิดอยากทำความดีอยู่ในหลักของศาสนาพุทธต้องไปบวชเป็นพระ แต่เราก็อยากมีภรรยา มีครอบครัว ไม่สามารถตัดกิเลส ตัณหาได้ เลยไม่คิดที่จะบวช พอมาพบศาสนาอิสลาม เลยทำให้รู้ว่า การทำความดีสามารถทำควบคู่ไปกับการใช้ชีวิตประจำวันได้ตลอดเวลา ไม่ต้องแยกศาสนาออกจากโลกแห่งความเป็นจริง ชีวิตที่แท้จริงได้อยู่ในหลักการศาสนาที่แท้จริง "ศาสนากับการดำเนินชีวิตสามารถไปด้วยกันอย่างครอบคลุม" ทำให้จิตใจอยู่ในหลักการทำความดีตลอดเวลา อย่างเช่น เมื่อจะไปไหน ต้องวางแผนมากขึ้น ทำอะไรก็ต้องวางแผน เพื่อไม่ให้สูญเสียเวลาละหมาด

Islammore : การละหมาด ทำให้เรารู้สึกอย่างไรบ้าง ?
ซอลาฮุดดีน : ทำให้จิตใจตั้งมั่นอยู่ในความดี เราเจตนาละหมาดเพื่ออัลลอฮ์ ทุกอย่างไม่ว่าจะทำการงานอะไรก็เพื่ออัลลอฮ์ เมื่อได้เรียนรู้และศึกษามากขึ้น จึงทำให้เข้าใจว่า ทำไมเราจึงต้องทำเพื่อพระองค์ เพียงองค์เดียว อัลลอฮ์เป็นผู้ให้กำเนิด ผู้บังเกิดทุกสิ่ง เพราะฉะนั้นจึงสามารถหาจุดศูนย์กลาง และมีพลังเพื่อที่จะทำความดีเพื่อพระองค์ตลอดเวลา
เมื่อก่อนเราทำความดีแต่ไม่ค่อยมีความบริสุทธิ์ใจ เพราะเราจะทำเพื่อโอ้อวด เพื่อให้มนุษย์ยกย่อง ให้เขารู้ว่าเราเป็นคนดี แต่ตอนนี้เราทำเพื่ออัลลอฮ์ มิใช่เพื่อการโอ้อวด แม้มนุษย์ไม่รู้แต่อัลลอฮ์ทรงรู้ เพื่อผลบุญที่จะได้รับการตอบแทนจากพระองค์ เมื่อเรามาสู่การละหมาด ทำให้เราได้กลับมาสู่การทำความดีเพื่ออัลลอฮ์ อีกครั้ง และเป็นอย่างนี้เรื่อยไป
Islammore : จุดแข็งของอิสลาม ?
ซอลาฮุดดีน : คือ การท่องจำอัลกุรอาน เพราะการอ่านภาษาอาหรับ ถ้าผิดแม้ตัวอักษรเดียวจะทำให้ความหมายเปลี่ยนไป และถ้าอ่านถูกต้องจะได้รับผลบุญ หนึ่งตัวอักษรเท่ากับสิบความดี และนี่เป็นอีกความดีที่เราสามารถทำได้อย่างง่ายดาย เพราะฉะนั้นจึงมีนักท่องจำอัลกุรอานมาตั้งแต่ยุคของท่านนะบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม คัมภีรอัลกุรอานจึงได้รับการปกป้องรักษา การผิดเพี้ยนและบิดเบือน ทำให้แน่ใจว่า สิ่งที่สอนที่บอกกล่าวไว้ในอัลกุรอาน มาจากอัลลอฮ์ และไม่มีการเพิ่มเติมหรือเสริมแต่งอย่างแน่นอน
ตอนนี้พยายามอ่านอัลกุรอานภาษาอาหรับ และความหมายภาษาไทยด้วย เพื่อให้ทราบว่าจริงๆแล้ว อัลลอฮ์ ทรงกล่าวว่าอะไรบ้าง เพื่อนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง

Islammore : มีปัญหากับครอบครัวเดิมไหม?
ซอลาฮุดดีน : มีบ้าง เป็นเรื่องของความรู้สึกกับคนที่เลี้ยงดูเรามาตั้งแต่เล็ก แต่โดยพื้นฐานจะเป็นคนทีมั่นใจตนเอง ใช้ชีวิตในทางที่เราเลือกเองมาตั้งแต่ต้น ทุกคนเลยเคารพความคิดซึ่งกันและกันและการดำเนินชีวิตของแต่ละคน ญาติพี่น้องคนอื่นจึงไม่มีปัญหาอะไร
ตอนนี้คงเหลือแต่ อา ที่เป็นคนเลี้ยงดูเรามาตั้งแต่เล็ก อยากให้ อา มาอยู่ด้วยกัน อยากเลี้ยงดูในยามที่ท่านแก่ชรา เพราะท่านเลี้ยงเรามาตั้ง 20 กว่าปี ทำไมแค่ช่วงเวลาอีกไม่กี่ปีที่ท่านมีชีวิตอยู่นี้เราจะเลี้ยงท่านไม่ได้
ความรู้สึกของ อา ตอนนี้ ?
เราจะไม่ค่อยพูดถึงกันในเรื่องความรู้สึก แต่จะเข้าใจกัน อา จะเสียใจและผิดหวัง สิ่งที่เกิดขึ้นจะกระทบทางจิตใจมากกว่า เพราะท่านกลัวว่า เมื่อท่านตายใครจะไหว้ ใครจะให้อาหาร ใครจะเผากระดาษเงิน กระดาษทองไปให้ท่าน ตามความเชื่อของเขา
คิดว่าสามารถที่จะดะวะฮ์ อา มาเข้าอิสลามได้ไหม ?
อินชาอัลลอฮ์ แต่ต่างคนต่างมีความคิดของตนเอง จะมีทิฐิและความเชื่อ ที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ดั้งเดิม แต่เราก็ต้องพยายาม อย่างน้อยก่อนที่ท่านจะตายให้ท่านได้กล่าว "ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์ มุฮัมมะดุรเราะซูลลุลลอฮ์"

Islammore : มีปัญหากับเพื่อนร่วมงานไหม ?
ซอลาฮุดดีน : กับ เพื่อนร่วมงานไม่มีปัญหาอะไร อาจเพราะเราเป็นหัวหน้างาน และผู้ร่วมงานจะมีทั้งมุสลิม และไม่ใช่มุสลิม ที่เป็นมุสลิมเลยกลายเป็นทำให้เขาต้องละหมาด ต้องกล่าวสลาม แต่ก่อนเขาไม่ค่อยที่จะปฏิบัติอย่างที่ควรจะทำ แต่เดี๋ยวนี้ อัลฮัมดุลิลลาฮ์
เวลาละหมาด จะละหมาดที่ทำงาน ผู้ร่วมงานก็จะเห็นและจะทราบกัน แต่ผมจะพยายามเดินไปละหมาดที่มัสยิดที่อยู่ใกล้ที่ทำงาน ไม่เคยขาดละหมาด และไม่ต้องใช้กอฎอ ผมจะละหมาดในเวลาตลอดและไม่มีอุปสรรคอะไรที่ทำให้ต้องขาดการละหมาด และปัจจุบันการงานของผม กลับทำให้ผมมีเวลาละหมาดมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเสียอีก อัลฮัมดุลิลลาฮ์

Islammore : ความรู้สึกในการไปทำฮัจญ์ ?
ซอลาฮุดดีน : อัล ฮัมดุลิลลาฮ์ ดีใจและปลื้มใจมาก เที่ยวบินของผมเป็นเที่ยวบินที่มีปัญหาปิดสนามบิน ตอนแรกคิดว่าไม่ได้ไปแล้ว หัวใจตกหายไปที่ไหนไม่รู้ ร้องไห้เลยครับ ภรรยาบอกว่าสงสัยไม่ได้ไปแล้ว เลยพูดบอกเขาไปว่า ไม่ได้สิเราต้องได้ไป ช่วยกันขอดุอาร์ พี่น้องที่จะไปทั้งหมดช่วยกันขอดุอาร์ แล้วอัลลอฮ์ ก็เปิดทางให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี พอได้ไปรู้สึกเหมือนเราได้รับของที่มีค่า และพอไปถึงก็ไม่ผิดหวังเป็นฝันของมุสลิมทั่วโลก เป็นโอกาสที่น้อยคนจะได้รับจากพระองค์ และเป็นความภาคภูมิใจของตนเอง
จริงๆแล้วแต่ก่อนที่ยังไม่เป็นมุสลิม ก็เคยเห็นในทีวี ยังนึกว่า เขาไปเตรียมซักซ้อมกันที่ไหน คนเป็นล้านถึงได้ทำทุกอย่างพร้อมเพรียงกันหมด แล้วไปอยู่ในที่เดียวกันเวลาเดียวกัน ต่างเชื้อชาติ ต่างภาษา ทำไมถึงทำทุกอย่างได้เหมือนกัน ยังคิดอยากไปดูว่าเขาเตรียมพร้อมกันอย่างไร ถามเพื่อนว่าถ้าไม่ใช่มุสลิมจะไปเมืองนั้นได้ไหม เพื่อนก็บอกว่าไม่ได้ แต่ไปเมืองอื่นได้
แต่ตอนนี้รู้แล้วว่า ทุกคนเตรียมพร้อมมากันเองตั้งแต่เล็ก มุสลิมทุกคนเราปฏิบัติเหมือนกันหมด ละหมาดเหมือนกัน ถือศีลอดเหมือนกัน ทำฮัจญ์ปฏิบัติเหมือนกันทั่วทั้งโลก นี่คือความยิ่งใหญ่จริงๆ แตกต่างจากศาสนาอื่น อย่างพุทธเวลากราบ จะกราบไม่เหมือนกัน คนจีนกราบอีกอย่าง คนไทยกราบอีกอย่าง คนทิเบตกราบอีกอย่าง คนอินเดียก็กราบอีกอย่าง สรุปว่าแค่กราบยังไม่เหมือนกันเลย

Islammore : เมื่อเห็นกะอ์บะฮ์ ครั้งแรก รู้สึกอย่างไร ?
ซอลาฮุดดีน : เรา จะเห็นแต่ในรูปภาพ และคำบอกกล่าว พอไปเห็นกะอ์บะฮ์ รู้สึกปลื้มปิติอย่างบอกไม่ถูก ดีใจ ตื้นตันใจ ผมไป ตอวาฟ คนเดียวบ่อยมาก เพราะบางครั้งภรรยาละหมาดไม่ได้ ผมก็จะเดินไปคนเดียว

Islammore : อยากบอกอะไรกับมุสลิม ?
ซอลาฮุดดีน : อยาก ให้มุสลิมเข้ามาศึกษาหลักการศาสนาอิสลามอย่างแท้จริง จากคัมภีร์อัลกุรอาน และฮะดิษ ที่แปลความหมายภาษาไทย ซึ่งมีให้อ่านกันแล้ว เพราะถ้าได้ทราบหลักการอย่างแท้จริงแล้ว คิดว่าเราจะไม่มีปัญหากับคนรอบข้าง และจะทำให้คนอื่นเข้าใจในศาสนาอิสลามด้วย
เหมือนปัญหาภาคใต้ ถ้าเขารู้ว่าหลักการอิสลามคืออะไร คิดว่าไม่น่าจะเกิดปัญหาแบบนี้อย่างแน่นอน และจะทำให้ภาคใต้สงบสุข และมีความจำเริญมากยิ่งขึ้นด้วย
สำหรับมุลิมะฮ์ อยากให้พวกเธอคลุมฮิญาบครับ เพราะผมชอบมองคนที่คลุมฮิญาบ ตั้งแต่ก่อนที่จะเข้ารับอิสลาม ดูแล้วทำให้รู้สึกสบายตา และคิดว่าคนที่คลุมฮิญาบ อย่างน้อยเธอก็ปฏิบัติตามหลักการศาสนา และเธอต้องเข้มแข็งกว่าคนที่ไม่คลุมฮิญาบ เพราะคนที่คลุมฮิญาบ คนทั่วไปจะรู้ว่าเธอคือมุสลิม ถ้าเธอทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง อาจจะแต่งตัวรัดรูป หรืออื่นๆ คนก็จะมองถึงศาสนาของเธอ แต่คนที่ไม่คลุมฮิญาบจะทำอะไรก็ไม่มีใครรู้ เพราะเธอไม่กล้าที่จะเปิดเผยตัวตนของเธอเอง
สุดท้าย อยากบอกว่า ชีวิตนี้แสนสั้นนัก เราไม่สามารถที่จะเปลี่ยนโลกทั้งใบได้ แต่เราสามารถที่จะเปลี่ยนตัวเราเอง ในเมื่อมุสลิมที่ได้อิสลามมาอย่างง่ายดาย ทำไมคุณถึงไม่ทำตามหลักการของศาสนา เพราะการทำความดีในชีวิตนี้มีไม่มากนัก ขนาดวันหนึ่งเราอยากจะทำความดีมากๆ บางครั้งก็หมดวันหมดเวลาแล้ว ไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นแล้ว
ขอฝากให้มุสลิมทุกคนได้เข้าใจหลักการอิสลามอย่างแท้จริง ปฏิบัติศาสนากับการดำเนินชีวิตให้ไปด้วยกัน และ ชีวิตนี้แสนสั้นนัก เราไม่สามารถเปลี่ยนโลกนี้ได้ ไม่สามารถเปลี่ยนคนอื่นได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนตนเองให้เป็นคนดี เพื่อพระองค์อัลลอฮ์ได้

Islammore ขอ ขอบคุณ ซอลาฮุดดีน ที่ให้ข้อคิดดีๆ กับผู้ที่เข้ามาศึกษาในเว็บไซร์ อิสลามมอร์ ขอพระองค์อัลลอฮ์ ทรงประทานความสุข ความจำเริญให้กับครอบครัว ขอพระองค์ทรงประทานบุตรที่ซอและฮ์ ให้กับทั้งสองท่าน และขอพระองค์ทรงประทานพร และทางนำที่ถูกต้องในการดำเนินชีวิต เพื่อก้าวต่อไปอย่างมั่นคง ด้วยเถิด ....อามีน
และ เมื่อคุณอ่านคุณจะรู้ว่า ฮิดายะฮ์ จากพระองค์ อัลลอฮ์ มิได้ ได้มาโดยง่ายๆ และพระองค์จะมอบให้กับผู้ที่ใช้สติปัญญา ในการคิดและไตร่ตรอง ถึงการดำเนินชีวิตว่า
เส้นทางไหน คือ เส้นทางที่ทำให้มีความสุขอย่างแท้จริง
เส้นทางไหน คือ เส้นทางที่จะนำไปใช้ได้ในชีวิตจริง
เส้นทางไหน คือ เส้นทางที่จะเป็นประโยชน์หรับมนุษยชาติอย่างแน่นอน
เส้นทางไหน คือ เส้นทางแห่งความจริง
เส้น ทางที่จะเดินไปถึงสวรรค์ เส้นทางที่จะทำให้เราก้าวต่อไปอย่างมั่นคงโดยไม่หลงทาง ทุกคนคงจะมีคำตอบอยู่กับตัวเองแล้ว และ คำตอบนั้นจะนำคุณไปในทางที่คุณเลือกเอง นรก หรือ สวรรค์ อยู่ที่คุณเลือกเอง

http://islammore.com/main/content.php?page=sub&category=43&id=1069

เรื่องราวการรับอิสลาม : ฐิติมา เบญจวรธรรม (ยุ้ย-นูรอัยนี)

เรื่องราวการรับอิสลาม : ฐิติมา เบญจวรธรรม (ยุ้ย-นูรอัยนี)
[ ไทย ]


إسلام الأخت نورعيني ينچاوأتم
[ باللغة التايلاندية ]



www.muslimthai.com
موقع المسلمون في تايلاند



ตรวจทาน: ซุฟอัม อุษมาน
مراجعة: صافي عثمان



สำนักงานความร่วมมือเพื่อการเผยแพร่และสอนอิสลาม อัร-ร็อบวะฮฺ กรุงริยาด
المكتب التعاوني للدعوة وتوعية الجاليات بالربوة بمدينة الرياض
1429 – 2008


ฐิติมา เบญจวรธรรม (ยุ้ย-นูรอัยนี)

หลายครั้งหลายหน ที่ใครต่อใครจะพากันถามยุ้ยว่าทำไมดิฉันถึงมาเข้ารับอิสลาม เพราะทุกคนดูหน้าตายุ้ยแล้ว ทุกคนก็จะรู้ทันทีว่ายุ้ยไม่ใช่มุสลิมเดิมแน่นอน สิ่งหนึ่งที่ยุ้ยไม่เคยปฏิเสธเลย แล้วยุ้ยก็ไม่อายด้วยที่จะตอบว่า "ยุ้ยมีแฟนเป็นมุสลิม" ซึ่งเค้าเป็นคนแรกที่ทำให้ยุ้ยได้รู้จักอิสลาม เราคบกันได้ไม่นานเท่าไหร่ เค้าก็ได้พายุ้ยไปงานเมาลิดกลาง และยุ้ยก็ได้ซื้อหนังสือมาอ่าน ครั้งแรกที่ซื้อจำได้เลยว่ามีหนังสือชื่อ "อิสลามเบื้องต้น" ทำให้ยุ้ยเข้าใจศาสนาขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่มากมายอะไร
และเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2541 ยุ้ยได้มาเรียนที่สันติชน ยุ้ยประทับใจครูทุกท่านที่นี่มาก เพราะครูไม่เคยบังคับให้ยุ้ยเชื่อ ครูมีเหตุแล้วก็มีผลให้กับทุกคนเสมอ ครูให้ทุกคนใช้วิจารณญาณที่อัลลอฮฺประทานให้กับทุกคนได้คิดเอาเองว่าสิ่งที่ครูบอก สิ่งที่อัลกุรอานได้บอกเอาไว้เป็นจริงหรือไม่ ยุ้ยได้เรียน ทำให้ยุ้ยได้ทราบอะไรมากมายซึ่งบางทียุ้ยอาจจะทราบมากกว่าคนที่เป็นมุสลิมเดิมเสียอีก แต่การที่รู้ไม่ปฏิบัติมันก็แค่นั้น รู้น้อยแล้วปฏิบัติตามค่อยๆ ศึกษาไปเรื่อยๆ ยุ้ยว่าดีกว่าเสียอีก จริงไม๊หล่ะค่ะ
ก่อนหน้าที่ยุ้ยจะเข้ารับอิสลามนั้น ยุ้ยเองก็ไม่ต่างจากมุอัลลัฟคนอื่นๆ ยุ้ยเจอปัญหา และการทดสอบจากอัลลอฮฺ เหมือนๆ กับทุกคนนั่นก็คือ 'ครอบครัว' ยุ้ยคบแฟนตั้งแต่เรียนมหาลัยปีหนึ่งจนจบมหาลัยยุ้ยถึงจะเพิ่งบอกกับแม่ว่ายุ้ยมีแฟน และแฟนยุ้ยเป็นมุสลิม เชื่อไม๊ว่าวันแรกที่แม่รู้ แม่ยุ้ยนอนไม่หลับ แล้วก็นอนร้องไห้ทั้งคืน ยุ้ยไม่ร้ว่ายุ้ยจะต้องทำยังไง ก่อนนอนก็ได้แต่ขอต่ออัลลอฮฺทุกคืน เพราะยุ้ยไม่อยากเป็นคนสองศาสนา มุสลิมเดิมบางคนชอบถามยุ้ยว่าเมื่อไหร่จะเข้ารับอิสลามเสียที ยุ้ยก็ได้แต่บอกเค้าว่า "รอให้อัลลอฮฺเปิดใจให้ยุ้ยกว้างกว่านี้ก่อน" เค้าก็จะถามยุ้ยกลับมาอีกว่า แล้วถ้าเกิดยุ้ยเป็นอะไรไปตอนนี้ หรือว่าวันอาคีเราะฮฺมาถึง แล้วยุ้ยจะทำยังไง ยุ้ยก็ได้แต่ตอบว่า "อัลลอฮฺ เปิดใจยุ้ยมาตั้งสี่ปี ถ้าอัลลอฮฺจะปิดใจยุ้ย หรือว่าจะให้ยุ้ยตายตอนนี้ ยุ้ยถือว่าอัลลอฮฺไม่รับคนอย่างยุ้ยก็แล้วกัน" ไม่ใช่ว่ายุ้ยจะไม่คิดไม่กลัวนะแต่ทำไงได้ ยุ้ยถ้ามุสลิมเดิมต้องตกอย่ในสภาวะแบบยุ้ย ว่าเค้าจะเข้าใจ แฟนยุ้ยไม่เคยบังคับให้ยุ้ยต้องเข้ารับอิสลาม เค้าบอกยุ้ยว่าเค้าอยากให้ยุ้ยเข้ารับ เพราะว่ายุ้ยศรัทธา ไม่ใช่เพราะว่ายุ้ยมีเค้า ยุ้ยรักเค้า แล้วยุ้ยถึงเข้ารับ
แม่ยุ้ยจะถามยุ้ยบ่อยมากว่า คิดดีแล้วเหรอ คิดให้ดีๆ นะ แล้วคำตอบที่แม่ได้จากยุ้ยทุกครั้งจะเหมือนเดิมทุกทีก็คือ "ยุ้ยคิดดีแล้ว" ตอนยุ้ยมาเรียนที่สันติชนใหม่ๆ ยุ้ยไม่ได้คลุมฮิญาบ แต่พอยุ้ยไปที่นาคนาวาฟาร์มกับเพื่อนๆ ที่สันติชนยุ้ยรู้สึกว่าายุ้ยเป็นแกะดำ พอกลับมาไม่นานยุ้ยก็คลุมฮิญาบ โดยที่ยุ้ยยังไม่ได้เข้ารับอิสลาม
เพื่อนๆ และมุสลิมที่ยุ้ยไม่ร้จักจะทักกับยุ้ยแบบมุสลิม ยุ้ยจะจับมือกับเค้า แต่ยุ้ยจะไม่กล่าวรับสลาม ยุ้ยเองก็รู้สึกกระดาก อยากจะบอกเค้าว่าอย่ากล่าวสลามกับยุ้ย เพราะยุ้ยยังไม่ได้เป็นมุสลิมอย่างเพื่อนๆ ยุ้ยก็จะบอกเค้าได้แต่คนที่ยุ้ยไม่ร้จักหล่ะ ยุ้ยไม่รู้จะบอกเค้ายังไงดี เวลาจะซักฮิญาบทีก็ลำบาก ต้องรอให้ทุกคนนอนกันหมดก่อน แล้วค่อยแอบลงมาซัก แล้วก็เอาเข้าเครื่องซักผ้าปั่นให้หมาด ผูกเชือกในห้องนอนเป็นราวตากผ้า เช้าขึ้นมาก็ต้องรีบเก็บใส่ตู้เพราะกลัวแม่มาเห็น เวลาจะคลุมที ก็ต้องออกไปคลุมที่ป้ายรถเมลล์ไม่ก็หน้าปากซอยบ้าน
วันหนึ่งยุ้ยเจอเว็บไซด์ของมุสลิมไทย www.muslimthai.com และทำให้ยุ้ยได้เจอกับอีเมล์ของครูสุไลมาน (ประธานเว็บไซท์) ทำให้ยุ้ยติดต่อกับครูทางอินเตอร์เน็ทมาตลอดเวลาที่ยุ้ยไม่เข้าใจอะไร ยุ้ยก็จะส่งเมลล์ไปถามครูเสมอ และเว็บไซด์นี้ก็ทำให้ยุ้ยรู้จักกับมุสลิมคนอื่นๆ อีกหลายคน
เชื่อไม๊ว่ามีวันหนึ่งเป็นวันที่ยุ้ยกลัวตายมากที่สุด ยุ้ยมาเรียนที่สันติชนวันนั้นครูซัลมาบอกว่าคนที่ยังไม่เข้ารับอิสลามต้องบอกว่า "ชั้นตายไม่ได้" ขากลับยุ้ยต้องนั่งเรือหางยาว (คลองแสนแสบ) กลับ แต่ช่วงนั้นน้ำท่วมเรือหางยาวหยุดวิ่งที่คล้ายเรือแข่งมาวิ่งแทนลำหนึ่ง จะนั่งได้ประมาณ 10 คน แถวหนึ่งนั่ง ได้ 2 คนซึ่งเรือแคบมาก เวลาที่เรือแล่นมันจะกระแทกน้ำ และขอบเรือจะปริ่มน้ำตลอด แล่นๆ ไปเรือ เกิดดับกลางคลองแสนแสบ ยุ้ยรู้สึกกลัวมาก ในใจได้แต่คิดว่ายังตายไม่ได้ อย่างที่ครูซัลมาบอก ก็เลยเลยได้แต่ท่องว่า "อัลลอฮุอักบัร กับ บิสมิลลาฮิรเราะฮฺมานิรเราะฮีม" และยุ้ยก็ได้แต่พูดในใจว่า "อัลลอฮฺ ขอได้โปรดอย่าเพิ่งให้ยุ้ยตายตอนนี้เลย เพราะยุ้ยยังไม่ได้เข้ารับอิสลาม" แล้วยุ้ยก็รอดผ่านพ้นมาจนมีชีวิตถึงทุกวันนี้ได้อย่างปลอดภัย อัลฮัมดุลิลลาฮฺ
และเมื่อยุ้ยรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัยจนจบทำงาน ได้ประมาณปีนึง ยุ้ยก็ไม่คิดว่าสิ่งที่ยุ้ยขอกับอัลลอฮฺ ทุกคืนก่อนนอนจะเป็นจริงได้เร็วถึงขนาดนี้ เพราะใครๆ จะพากันถามยุ้ยว่าเมื่อไหร่จะนิกะห์? เมื่อไหร่จะเข้ารับอิสลาม? ยุ้ยจะบอกว่าอีกสองปีมาตลอด แต่สุดท้ายกลายเป็นสองเดือนเท่านั้น แม่ยอมให้ยุ้ยนิกะห์กับแฟน ตอนแรกยุ้ยบอกแม่ว่ายุ้ยยังไม่นิกะห์ก็ได้ แต่ให้ยุ้ยเข้ารับอิสลามแม่บอกว่า ถ้าจะเข้ารับอิสลามก็ไม่ต้องอยู่ที่บ้าน ถ้าจะเข้ารับอิสลามก็ให้แต่งงานไปเลย ยุ้ยก็เลยเข้ารับอิสลามวันเดียวกับวันที่นิกะห์ คือวันที่ 4 เมษายน 2542 มีชื่อมุสลิมว่า นูรอัยนี อัลฮัมดูลิลลาฮฺ ค่ะ
ข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่านบีมูฮัมมัด เป็นร่อซูล(ศาสนทูต)ของพระองค์ ขอเอกองค์อัลลอฮ สุบหานะฮูวะตะอาลา ทรงประทานฮิดายะห์ (ทางนำ) ให้กับทุกคนนะค่ะ
วัสลามุอะลัยกุม วะเราะฮฺมาตุลเราะฮิวะบะรอกาตุฮฺ

ปัญญศักย์ (อับดุลฮาดีย์) มุสลิมใหม่ นักวิจัยสามจังหวัดภาคใต้

คำให้การของนักปฏิวัติ

เขาต้องการจะเปลี่ยนแปลงโลก เขาผ่านการต่อสู้มาหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการประท้วง การต่อสู้ด้วยปืนแบบคอมมิวนิสต์ การทำงาน NGO การรับราชการ หรือแม้แต่การลงสมัครรับเลือกตั้ง! เขาผิดหวังมาตลอดกับการต่อสู้ในรูปแบบต่างๆ และในที่สุดเขาก็มาเจอ คำตอบที่ถูกต้องที่สุด นั่นคือการญิฮาด

ปัญญศักย์หรืออับดุลฮาดีย์ โสภณวสุ นักวิจัยจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและนักศึกษาปริญญาโท วิทยาลัยอิสลามศึกษา มอ.ปัตตานี ละเลียดโลกแห่งการต่อสู้ตั้งแต่ยุค 14 ตุลา มาถึงยุคไฟใต้ครุกรุ่นมาเล่าให้

ล้อมวงเข้ามา อย่าพลาดแม้แต่เสี้ยววินาที

“ผมเข้าธรรมศาสตร์ปี 16 ผมมาจากวัดประดู่นายทรงธรรม ผมมาคนเดียวไง ตอนนั้นคนที่คะแนนไล่กันก็จะอยู่กลุ่มเดียวกัน มีที่ปรึกษาคนเดียวกัน เราก็ไปไหนไปด้วยกันไปกันทั้งกลุ่ม เลือกคณะเดียวกันทั้งหมดเลย ส่วนใหญ่ เขาจบจากเตรียมอุดมศึกษา แล้วพอดีช่วงนั้นมีประท้วงดร.ศักดิ์ที่รามคำแหง เราก็ประท้วงไปเรื่อย จนเข้าสู่การเมืองธรรมศาสตร์ในสมัยโน้นเขากำลังเข้มข้น การปรับตัวความคิดของนักศึกษาที่ต่อสู้เผด็จการมันแรงไงก็เข้ากันทั้งกลุ่มเลย ทำกิจกรรมนักศึกษาอยู่พรรคพลัง ธรรม เพราะตอนนั้นมีการลงคะแนน เลือกหัวหน้าพรรค พวกรุ่นพี่ก็ดึงไปโหวตให้อีกคนเพื่อจะเป็นหัวหน้า พรรคพลังธรรม เพื่อไปช่วงชิงการนำ ในธรรมศาสตร์ ผมก็ไปเข้าร่วม ผมเข้าเรียนประมาณพฤษภา มิถุนา กรกฎาก็เดินขบวน มาถึง 14 ตุลา 16 ผมก็ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัย ทั้งวันคุมอยู่ตึกโดม ปีกนึง มันรื้อไปแล้ว ผมอยู่อีกฝั่งหนึ่ง พอเขา เคลื่อนออกไปเราก็นอน เพลียเพราะ ทั้งคืนที่เฝ้า ก็ค้างอยู่ในธรรมศาสตร์ ช่วงที่ไปอยู่หน้าสวนจิตรฯผมถึงจะไป ตอนเขาบอกว่าจะกำหนดปล่อยตัว ทั้งหมด ก็เดินทางกลับบ้านกับเพื่อน คนหนึ่ง พอรู้ข่าวว่านักศึกษาโดนตี ผมก็วิ่งกลับเข้าธรรมศาสตร์ สู้ต่ออยู่ บนลานอนุสาวรีย์ตลอดจนชนะ”

“6 ตุลาผมอยู่ธรรมศาสตร์ ผมก็ทำหน้าที่กับเพื่อนนี่แหละ ก็โดนไล่ยิง แต่ผมหนีออกมาได้ ผมอยู่แถวตึก กิจกรรมนักศึกษากับตึกวารสาร ผมหลบในซอกตึก ไอ้พวกนี้มันบ้าเลือด ตั้งแต่มันบุกเข้ามาได้ มันฆ่าไม่เลือก ลากไปฆ่าเลย หน้าที่ของเราตอนนั้นคือพานักศึกษาที่อยู่แถวนั้นหนีไปเพื่อหาที่ปลอดภัย ก็เจาะกำแพงวารสาร นักศึกษาตอนนั้นทั้งสี่ชั้นเต็มหมด ก็พานักศึกษาหนี โดดแม่น้ำเจ้า พระยา แล้วก็ต่างคนต่างหนี ก็หนีมา ได้ สักพักผมก็เข้าป่า”



เข้าป่าเป็นคอมมิวนิสต์

“ตอนอยู่ธรรมศาสตร์ขบวนการ นักศึกษาเปลี่ยนแล้ว คาร์ล มาร์กพูด ถึงทฤษฎีวัตถุนิยมวิพาษวิธีว่าการ พัฒนาทั้งหมดมันเกิดมาจากความขัด แย้ง เขาเอาทฤษฎีนี้มาอธิบายประวัติ ศาสตร์ สังคมบุพกาลเป็นสังคมทาส แล้วมาเป็นสังคมศักดินา มาเป็น สังคมทุนนิยม แล้วจึงจะเป็นสังคม นิยมคอมมิวนิสต์ เราก็เชื่อว่าสังคมมัน จะพัฒนาไปตามนี้ และสังคมอุดมคติ ของลัทธิมาร์กคือ สังคมนิยมคอมมิวนิสต์ แล้วลัทธิเหมาเขาอธิบายว่าการ ที่จะเปลี่ยนสังคมไปสู่สังคมอุดมคติ มันต้องตีความสังคมไทย แล้วขบวน การคอมมิวนิสต์ก็ตีความว่าสังคม ไทยเป็นสังคมกึ่งศักดินาต้องใช้อาวุธ ล้อมเมือง เพราะฉะนั้นโดยความคิด ของเหมาทำให้ขวนการต่อสู้ทั้งหมด พุ่งไปสู่การต่อสู้ในชนบทเขตป่าเขาร่วม กับพรรคคอมมิวนิสต์ พอเขาปราบ เรา ก็ไปกันเลย นักศึกษาส่วนใหญ่ก็หนีไป กันเลยผมอยู่ชัยภูมิ มีนักศึกษาล้วนๆ เป็นเขตที่นักศึกษาจัดตั้งกันเองเลย เพราะสมัยเราต่อสู่ในธรรมศาสตร์ เราก็ไปทำงานในชนบทแล้ว เราไป ปลุกระดมชาวบ้านชาวนามาเดิน ขบวนหลายครั้ง เราก็ไปเชื่อมต่อกับ พรรคคอมมิวนิตส์ได้
ผมเข้าไปทำงานมวลชนอยู่บน เขา ต้องเดินลงไปปลุกระดมมวลชน เราต้องเอากำลังคนหนุ่มสาวขึ้นมา ติดอาวุธ มันต้องสร้างกองกำลังพูด ง่ายๆ มันแค่เป็นการต่อสู้ด้วยอาวุธ เพราะเหมาบอกว่าอำนาจรัฐมันมา ด้วยกระบอกปืนไม่ได้มาด้วยการร้อง ขอ

พอผมทำงานมวลชนทำไปทำมาจัดตั้งได้นะ หมู่บ้านติดเชิงเขา สักพัก ก็เสียลับ เสียลับคือเจ้าหน้าที่เขารู้ เพราะมันมีคนที่ชอบเราไม่ชอบเรามีคนเห็นด้วยกับเรา แล้วก็มีคนกลัวเรา ในที่สุดก็รู้ไปถึงหูเจ้าหน้าที่ เขามาปิดล้อม ทำงานไม่ได้ ก็หนีไปหมู่ บ้านอื่นเดินวันนึงกับคืนนึง ก็ใช้เวลาเป็นวันในการไปหมู่บ้านใหม่

ตอนเป็นคอมมิวนิสต์ผมเป็นคน ไม่มีศาสนา ก่อนหน้าเป็นพุทธ เป็นพุทธตามทะเบียนบ้าน ป.4 เรียนวิชาศีลธรรมเล่มเล็กๆ เรียนประวัติ สิทธัตถะ พระไตรปิฎกแต่ก็บวชหลังจากออกจากป่า แม่ให้บวชเพราะพุทธเขาเชื่อว่าแม่จะได้เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์ พอ 15 วันก็ขอออก เพราะคอมมิวนิสต์ไม่มีศาสนา เขาถือว่าศาสนาเป็นเรื่องที่ชนชั้นปกครอง ใช้มามอมเมาประชาชนเพื่อให้ประชาชนอ่อนแอเพื่อปกครองง่าย

ผมอยู่ป่าสองปีครึ่งก็ออกมา เพราะผมรู้ว่าชนบทล้อมเมืองมัน ทำไม่ได้ ไปจัดตั้งมวลชนก็ถูกเจ้าหน้าที่เขาบล็อกหมด เขาแก้ไขได้หมด เราก็ใกล้ตายไปเรื่อยๆ แล้วมันมีความขัด แย้งของแนวความคิดมาร์กระหว่างจีนกับรัสเซียพอดี ตอนนั้นมันเกิดหลาย เรื่องนะในที่สุดผมก็ตัดสินใจออกมา”



จาก NGO มาสู่ข้าราชการ

“ผมออกมาเรียนต่อปริญญาตรี เพราะตอนที่ไปผมเพิ่งอยู่ปีสอง ผมเว้นไปสองปีครึ่งก็คือสี่ปีที่ผ่านมาได้ห้าสิบหน่วยมั้ง ผมกลับมาก็มาเร่งเรียนสองปีจบ ทั้งหมดสิบปีปริญญาตรี แล้วผมก็ไปสมัครงานที่มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคมตอนนั้นภูมิธรรม (เวชยชัย)เขาคุมอยู่ แล้วไปทำงานที่การเคหะงานสลัม ก็ทำไปเรื่อย สักพักก็เรียนปริญญาโท ขัดแย้งกับภูมิธรรม มันจะไม่ให้ผมเรียน ทำงานอาสาสมัคร เรียนปริญญาโทไม่ได้ แต่ผมก็เรียน สักพักหมดสัญญาผมก็ออก มาทำงานอยู่ ธรรมศาสตร์ แล้วมาทำงานมูลนิธิญี่ปุ่น ต่อมาก็สอบเข้าปลัดอำเภอ ไปจังหวัดตราดเขาสมิง ปี 27 เป็นปลัดอำเภอจริงๆ ไม่ถึงสองปี ผู้ใหญ่ก็ดึงผมมาทำงานกรมปกครอง ทำเรื่องวิเคราะห์ความมั่นคง สถานการณ์การเคลื่อนไหวการเมืองในประเทศ เขารู้ว่าผมเคยอยู่ในขบวนนักศึกษา เลยให้มาช่วย ช่วงนั้นก็มีม็อบ ผมก็เข้าใจว่าขบวนการม็อบเป็นยังไง เราจะแก้ปัญหายังไง ทำยังไงถึงจะยุติม็อบนี้มีเบื้องหลังไหม บริสุทธิ์ไหม เราดูออก เราก็ช่วยเขา แค่เขาเคลื่อนมาก็ดูออกมาว่าบริสุทธิ์หรือมีเบื้องหลัง แต่บางช่วงก็ไป ช่วยงานหน้าห้องรัฐมนตรีอยู่ หลายคนทำสลับไปสลับมาอย่างนี้แหละ จนปี 35 ผมลาออก”



ก้าวสู่สนามการเมือง

“ผมลงสมัครการเมืองสมัคร สก.พรรคพลังธรรมเขตบางจาก ก็แพ้ประชาธิปัตย์ เราไม่ซื้อเขาซื้อ ทีนี้กะจะลงอีกสมัยนึงต่อ ก็ช่วยงานการเมืองในพรรคนั่นแหละ แต่พอเห็นท่าไม่ดีไม่มีทางสอบได้แล้ว เพราะเรารู้ว่าการใช้เงินแรงขึ้นแล้วเราไม่มีสิทธิ์สู้ เลยกลับเข้ามารับราชการต่อ ถ้าจำไม่ผิดก็ปี 42 มั้ง ก็กลับมาทำงานกรม ปกครองเหมือนเดิม จนมีปฏิรูปราช การมีการแบ่งกรมใหม่ มีกรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัยผมก็ขอโอนมา”



ญิฮาดคืออะไร?

“ตอนที่เขาปล้นปืนกัน ปี 47 ผมก็รู้แค่ว่าพื้นที่ตรงนี้เป็นสามจังหวัด รู้ว่าตรงนี้เป็นพื้นที่มุสลิม รู้ว่าเป็นขบวนการทำการปล้นปืน ที่ผมรู้จักมันไม่ใช่อิสลามนะ ผมรู้จักบินลาดิน ฮัมบาลี สถานการณ์ความรุนแรงภาคใต้ของไทย ความรุนแรงที่อิรัก ที่อัฟกานิสถาน รู้ว่าเป็นขบวนการเกี่ยวกับมุสลิม แต่ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับศาสนายังไง พอปล้นค่ายผมก็ขอลงมาสามจังหวัด ลงมาตามเรื่องนี้แล้วผมมีเพื่อนเป็นอาจารย์ อยู่ที่นี่ อ.ศรีสมภพ จิตภิรมย์ศรี แกเป็นอาจารย์ที่นี่(มอ.ปัตตานี)มานาน ผมเลยลงมาอยู่กับแก ผมบอกว่าอาจารย์ ดูดีๆ มันไม่ใช่การต่อสู้แบบเก่า มันมีเรื่องความคิดอุดมการณ์เข้ามาแล้ว เรารู้ว่าไม่ใช่แนวความคิดใหม่ไม่ใช่ พวกดื้อแบบพูโลหรือบีอาร์เอ็นที่เจ้าหน้าที่มักจะอ้าง พวกนั้นมันไม่มีความคิด มันเรียกค่าคุ้มครองอะไรต่ออะไรเท่านั้น ผมก็เอาหนังสือมาอ่าน เอางานปริญญาโทปริญญาเอกของวันกาเดร์ เจ๊ะมันมาอ่านของอาจารย์ก็ได้ของโอเลเวีย ลอย เอสเปอซิโตมาอ่านก็ศึกษาการก่อการร้ายทั้งโลก แต่พวกนี้ศึกษาไปรู้อยู่ว่าเป็นญิฮาด รู้อยู่ว่าเป็นการต่อสู้ของอิสลาม ของบินลาดินของฮัมบาลี ของอัซซากาวี เป็นเรื่องญิฮาดทั้งนั้น แต่เราดูไปศึกษาไปก็ไม่เข้าใจ เราก็ศึกษาทำ วิจัยไปเรื่อย อาจารย์เขาก็อ่าน หนังสือฝรั่งไม่เข้าใจสักทีว่ามันคือ อะไร ก็เลยกลับมาหาที่อัลกุรอาน ก็ไม่เข้าใจก็เลยติดต่อหลาน(อับดุลอาซีซ โสภณวสุ)เพราะหลานผมเป็นมุสลิม เป็นโดยกำเนิดเพราะแม่เขาเป็น ที่ผ่านมาไม่เคยติดต่อกันเลย ผมก็ถามอาซีซ อาซีซก็ตอบมา แต่ผมจับเรื่องไม่ถูก แล้วมีงานเมาลิดผมก็ไปซื้อมาชุดนึงเลยของเมาดูดี (ตัฟฮีมุล กุรอาน) ผมก็มาเปิดดู มาศึกษาว่า ญิฮาดคืออะไร เข้าเว็บไซต์ก็ไม่เข้าใจ คือเข้าใจไม่ถูก ตะวันตกไม่ได้บอกว่าไม่มี มันบอกว่ามีญิฮาดนัฟซู มีญิฮาด เล็กไม่มีญิฮาดใหญ่ นั่นมันบิดเบือน แล้วก็มาอ่านของอับดุลลอฮฺ อัซซัม อาจารย์ของพวกอัซซากาวีเราก็สับสน อาซีซก็ชวนไปหาหลายอาจารย์เหมือนกันนะแต่ผมไม่เคยไป จนแล้วจนรอดก็มาหาเชคริฏอ สมะดี วันแรกผมก็ฟังแกสอนเรื่องมหัศจรรย์สิ่งลี้ลับ พอพูดเสร็จมีเลี้ยงข้าว ผมก็เข้าไปถามเลย ญิฮาดคืออะไร แกก็ตกใจ แกบอกต้องศึกษานานมาก ผมก็เลย ทยอยฟัง ทยอยอ่าน หลานก็ให้เทป ผมก็ฟังหมด ผมก็ขอมาเรียน มาฟังตัฟซีรจากเชค ฟังซีดีที่แกสอนมาทั้งหมด ผมฟังหมด แล้วก็แกะ แกะมา เป็นลายมือผม แต่ชื่ออุลามาอฺผมฟังไม่ออก ที่เป็นภาษาอาหรับผมฟังไม่ออก ผมก็เว้นไว้ แล้วก็มีเอกสารสองชุดที่หลานผมให้ เป็นเอกสารภาษาอังกฤษจากสันติชน เป็นเรื่องที่กุรอานพูดถึงวิทยาศาสตร์ ผมอ่านเรื่องการกำเนิดฝนการเกิดภูเขา ชัดที่สุดก็เรื่องฝน มันชัดตอนที่ผมขึ้นเครื่องบิน แล้วฝนมันก็เกิดตามนั้น เพราะในกุรอานบอกว่าเมฆเล็กๆพัด แล้วมันก็ก่อตัว เป็นเมฆสูงขึ้น พอสูงขึ้นมันหนัก แล้วมันก็จะตกมาเป็นฝน มีฟ้าแลบ ถ้าสูงมากๆก็จะเป็นลูกเห็บ ผมก็กลับไปอ่านอีกทีอ่านซ้ำไปซ้ำมา กุรอานไม่ใช่มนุษย์เขียนแน่นอน เพราะมนุษย์เพิ่งเจอว่าภูเขาคือหมุดที่ฝังลงไปไม่ให้ แผ่นดินมันเคลื่อน มนุษย์เพิ่งมาเจอไม่นาน แล้วก็การเกิดเอ็มบริโอที่อัลลอฮฺ สร้างพวกเราเนี่ยมีขั้นตอนเป็นอสุจิ ปึ๊บ ก็เป็นตัวปลิงก็ไปฝังตัวอยู่ในมดลูก แล้วมีรูปร่างคล้ายหมากฝรั่งที่คนกัด แล้วมีกี่วันๆในนั้นบอกไว้เยอะเลย ผมอ่านวิทยาศาสตร์ แล้วผมเชื่อเลย เชื่อว่ากุรอานไม่ใช่มนุษย์สร้างแน่ๆ แต่ก็ไม่ได้เลยเถิดนะว่าต้องเข้าอิสลาม แต่เชื่อว่ากุรอานของแท้แน่ๆ และผมรู้ว่าในนั้นมีการสอนเรื่องการ ญิฮาด มีเรื่องฮิจเราะฮฺ อีมาน เรื่องมันซับซ้อนมาก แต่ผมก็เชื่อแล้ว"



ใครจะดับแสงของอัลลอฮฺ?

“อ่านๆ ไปผมเจออายะฮฺกุรอาน ในซูเราะฮฺอัตเตาบะฮฺ อายะฮฺที่ 32 ผมอ่านไปเรื่อยๆนะ แต่ตอนนั้นยังเน้นในเรื่องการญิฮาดนะ ผมอ่านอัตเตาบะฮฺ เพราะบอกเรื่องญิฮาดทั้งหมด ไปอ่านเจอที่ว่า มุชรีกีน(ผู้ตั้งภาคี)พยายามจะดับแสงของอัลลอฮฺ ด้วยปากของพวกเขา และอัลลอฮฺนั้นไม่ทรงยินยอม นอกจากจะทรงให้แสงสว่างของพระองค์สมบูรณ์เท่านั้น และแม้ว่าผู้ปฏิเสธจะชิงชังก็ตาม ผมก็คิดไงว่ามุสลิมทั่วๆ ไปนี่เขาไม่ทำอะไรกันเลยเหรอ คืออัลลอฮฺไม่ยอมอยู่แล้ว รู้อยู่แล้วว่ามุชริกีนพยายามจะดับแสงของอัลลอฮฺ แต่อัลลอฮฺไม่ยอม แล้วก็จะให้แสงมีชัยชนะเหนือศาสนาอื่นด้วยซ้ำไป ผมก็งงว่าสอนขนาดนี้ แล้วมุสลิมไม่ทำอะไรกันเหรอ ผมก็ตัดสินว่าผมเข้าแล้วก็ทำงาน ดีกว่า คำสอนนี่กินใจผมมากด้วยนะ ว่าอัลลอฮฺไม่ยอมแสดงว่ายังไงก็ชนะ อำนาจของอัลลอฮฺยังไงก็ชนะ อิสลามเหนือทุกศาสนาตามที่อัลลอฮฺบอกไว้ ผมเชื่อขึ้นมาอย่างนั้นเลยแหละ ช่วงตัดสินใจจะเข้าไม่เข้ามันติดปัญหา ส่วนตัวไงคือผมกินเหล้ามานานแล้ว ถ้าเข้ามีปัญหาแน่ เพราะอัลลอฮฺห้าม ไว้ว่าบาปหนัก ผมก็มาเรียนตัฟซีร ตามปกติ แล้วผมก็นัดเชคและหลานผมมาคุย ผมคุยกับเชคว่าผมตัดสินใจแน่นอน แต่ไม่ใช่ตอนนี้ แต่อีก 6 - 7 เดือนจะเข้า เชคบอกคุณเข้ามาเลย ไม่เป็นไร เพราะในสมัยซอฮาบะฮฺก็ยังมีบางคนกิน ก็โอเคจำนนด้วยเหตุผล ก็นัดวันกัน พอมาถึงวันที่นัดหมายกันวันที่เรียนตัฟซีรนี่แหละ ตอนขับรถมา สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยนะ มันบอกไม่ถูก พอมาถึงก็กล่าวชะฮาดะฮฺมีสักขีพยาน พอกลับบ้านก็เลิกเหล้าได้เลยตั้งแต่วันนั้น พอเข้าแล้วใจมันเข้มแข็งมาก ผิดกับ ช่วงที่ผมขับรถมา ใจเราตั้งมั่น มันบอกไม่ถูกนะ พอกลับบ้าน เอาวะ เลิกเลย เพราะผมกลับบ้านกินทุกวันนะ แล้วไม่ใช่เพิ่งกินนะ ผมกินตั้งแต่ โน้นน่ะหลังเลือกตั้ง”



อิสลามจริงๆ คืออะไร?

“ที่ผมเข้ารับอิสลาม ไม่ใช่เพราะเรื่องญิฮาดแล้วนะ ที่ผมอ่านเจอมันมีมากกว่าเรื่องนั้น ตัฟซีรที่ผมอ่านและฟังมันมีมากกว่าญิฮาด ญิฮาดสำคัญแต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะมีคำอธิบายอีกเยอะที่เราอธิบายไม่ถูก ผมตั้งใจจะศึกษาอัลกุรอานที่เป็นภาษาอาหรับให้ได้และศึกษาปัญหาสามจังหวัดภาคใต้ต่อ เพราะที่ทำวิจัยมามันยังไม่จบ เพราะปัญหามันมีทั้งสองฝ่ายทั้งรัฐและในพื้นที่ คือถ้าศึกษามากๆแล้วดูข้อเท็จจริงผมมองว่าสังคมมุสลิมมันตกต่ำและยังไม่ฟื้นนะ อย่างตอนผมสมัครสอบปริญญาโทของวิทยาลัยอิสลาม เขารับสี่คน แต่มีคนมาสมัครแค่สาม ถ้าอธิบายก็เป็นเพราะสถานการณ์ แต่ไม่ใช่เพราะที่นี่เด็กมุสลิมเยอะแยะจริงๆ เด็กมุสลิมต้องศึกษาให้มากด้วยซ้ำไป ที่ผมเรียนเพราะผมต้องการความรู้ เรียนเพื่อที่จะรู้เพื่อที่จะบอกว่าอิสลามจริงๆคืออะไร เพราะคำอธิบายที่เป็นชุดดีๆมันไม่มี หรือมีแล้วแต่ยังไม่พอ หนังสือประวัติคอลีฟะฮฺสี่คน ผมเคยเห็นอยู่เล่มนึง หลังจากนั้นก็ไม่มีไง ประวัติศาสตร์อิสลามที่เป็นภาษาไทย ทั้งชุดมันไม่มี แต่ผมคงทำไม่ได้อยู่แล้ว เพราะผมไม่มีภูมิหลังการศึกษาศาสนาเยอะแยะ คนมุสลิมเองต้องทำ อย่างที่ผมบอกว่ามุสลิมตกต่ำ เพราะไม่มีใครรู้จักมุสลิม มุสลิมรู้จักกันเอง แต่คนต่างศาสนิกเขาไม่รู้จัก หรือมุสลิมที่อยู่ใกล้กับคนต่างศาสนิก ผมก็ไม่รู้ว่าเคยอธิบายอะไรให้เขาบ้าง เราเชื่อว่ามีสิ่งที่ดีกว่าก็ต้องบอกเขา”



มัสญิดถูกสร้างมาเพื่ออะไร?

“เรื่องมัสญิดเป็นเรื่องสามจังหวัดที่ผมทำวิจัยมา มเชื่อว่าที่มันปัญหาเยอะ เพราะว่ารัฐมันไม่ใช้ รัฐมองข้ามแล้วก็ไม่ไว้ใจและก็ไปติดใส่แว่นตะวันตกที่มองว่ามัสญิดเป็นที่บ่มเพาะผู้ก่อการร้าย แต่จริงๆใน อดีตนบีอพยพไปสิ่งแรกที่ท่านทำ คือสร้างมัสญิดกุบาอฺและก็มีมัสญิด ญะมาอะฮฺที่ละหมาดวันศุกร์และ มัสญิดมะดีนะฮฺ มัสญิดมาดีนะฮฺ แหล่ะมัสญิดเล็กๆสร้างอาณาจักร อิสลามใหญ่โตแค่ไหน จนมีศาสนาทุกวันนี้เพราะอะไร ที่นั่นคือที่บริหารศาสนาของท่านนบีตั้งแต่แรกทั้ง ด้านการเมือง ศีลธรรม ศาสนา มากสุดคือใช้สอนศาสนา สอนสิ่งที่ อัลลอฮฺสั่งใช้เรื่องความประพฤติคุณธรรมของคน ในยุคคอลีฟะฮฺทั้งสี่ก็เหมือนกันก็ยังวนเวียนอยู่ในมัสญิดทั้งหมด อลีฟะฮฺทั้งสี่ก็เป็นอีหม่ามนำละหมาดอยู่ แต่หลังจากนั้นดูเหมือนว่าผู้นำจะทิ้งมัสญิด ทำมัสญิดเป็นพิพิธภัณฑ์ ไม่ใช้มัสญิดเป็นโรงเรียน เป็นมหาวิทยาลัย มัสญิดคือศูนย์กลางทั้งหมดของชีวิตมุสลิม แต่เราลืม จริงๆเป็นอย่างนี้ เจ้าหน้าที่ รัฐไม่เข้าใจ มองเป็นที่บ่มเพาะ แทนที่จะให้มุสลิมเขาใช้มัสญิดพัฒนาแก้ไขปัญหาให้เต็มที่ ไม่ใช่ทำอันนี้แล้วมันจะแก้ไขได้หมดนะ อันนี้มันก็ส่วนหนึ่ง แต่ ณ วันนี้จะใช้ได้หรือเปล่า ผมไม่รู้ไง แต่ผมต้องการที่จะวิจัยและบอกคนทั่วไปว่า ในอดีตมัสญิดเป็นแบบนี้ มีหน้าที่อย่างนี้ ไม่ใช่แบบที่ตะวันตกมันบอกว่าเป็นที่ก่อการร้าย เราเชื่อว่ามีอัลลอฮฺอยู่จริง อัลลอฮฺสร้างมนุษย์ขึ้นมาเพื่อให้อิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺองค์เดียว แค่ละหมาดห้าหนที่มัสญิดแค่นั้นพอหรือ มัสญิดถูกสร้างมาเพื่อแค่นั้นหรือ”



จากวารสาร โรตีมะตะบะ ฉบับ ปลากระแป๋ว (คัดจากสเปซ อัซ-ซาบิกูน)
http://as-sabikoon.spaces.live.com/blog/cns!9D2D979B2DB7D141!187.entry

เรื่องราวการรับอิสลามของ Iman Aparicio ชาวแม็กซิกัน

เส้นทางสู่อิสลามของ อดีตคริสเตียน โรมันคาทอลิก Iman (Monica) Aparicio

Iman (Monica) Aparicio เธอเป็นสาวแม๊กซิกัน ประเทศที่เกือบร้อยเปอร์เซนต์เป็นคนนับถือศาสนาคริสต์สายโรมันคาทอลิก เธอเกิดและโตมากับครอบครัวที่ค่อนข้างเคร่งครัดในเรื่องศาสนา เธอเล่าว่าครอบครัวของเธอปลูกฝังเธอให้เชื่อในคริสเตียน ไปโบสถ์ สวดมนต์ ทำทุกสิ่งทุกอย่าง ด้วยเหตุผลที่โตมากับครอบครัวที่เคร่งครัดทางศาสนาและคนที่นั่นก็แทบจะไม่รู้จักศาสนาอื่นเลย เธอเลยไม่เคยมีความคิดที่จะเสาะหาหรือทำความรู้จักและเข้าใจศาสนาอื่น เธอไม่เคยคิดแม้แต่จะถามตัวเองว่าสิ่งที่เธอเชื่อ ผิดถูกแค่ไหนอย่างไร คนที่นั่นก็ไม่เคยคิดจะตรวจสอบว่า ที่ฟังๆจากโบสถ์นั้น จริงๆแล้วมีอยู่จริงในคำภีร์ไบเบิลหรือไม่่

พอเธออายุได้ 10 ขวบ เธอและครอบครัวได้ย้ายไปอยู่ทางเหนือของแม๊กซิโก ซึ่งเป็นเมืองชายแดนที่ติดกับอเมริกา ที่นั่นทำให้เธอพบกับสามีของเธอ เค้าเป็นมุสลิมและเป็นคนที่ดีมาก ครอบครัวของเราก็ชอบเค้ามาก เมื่อเธออายุได้ 23 ปี เธอตัดสินใจแต่งงานกับสามีของเธอ ตอนแต่งงานกัน เธอยังคงเป็นคริสต์โรมันคาทอลิกและเธอเล่าว่าได้ทำสัญญากันระหว่างเธอกับสามีของเธอ สามีเธอขอว่าถ้ามีลูก อยากให้ลูกได้รับการดูแลและโตมาแบบอิสลาม ส่วนเธอขอสามีเธอว่า เธอไม่ต้องการให้สามีเธอแต่งงานมีภรรยาหลายคน สามีเธอบอกว่า ไม่ต้องห่วงหรอกครอบครัวเค้าไม่นิยมมีภรรยาหลายคนอยู่แล้ว

ในตอนนั้นเธอก็คิดว่า ก็คงไม่มีปัญหาอะไร สามีเธอเป็นคนน่ารัก ถ้าลูกๆเธอจะเติบโตมาเป็นมุสลิมก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อเธอมีลูกให้กับเค้าคนแรก ด้วยความรักของแม่ เธอกลับมีความรู้สึกว่า ไม่ได้ ฉันต้องดูแลและเลี้ยงดูลูกของฉันให้เป็นคริสต์โรมันคาทอลิก

จริงๆ ตอนนั้นเธอเกิดอยากผิดสัญญากับสามีเธอด้วยเหตุผลที่เธอเชื่อว่าศาสนาที่แท้จริงจากพระเจ้าคือคริสเตียน ไม่ใช่อิสลาม และเธอไม่ต้องการให้ลูกของเธอตกนรก เธอเลยตัดสินใจสอนลูกเธอเกี่ยวกับคริสเตียนอย่างลับๆ เช่นตอนที่สามีเธอไปทำงานเป็นต้น เธอขอให้ลูกเธอปิดเรื่องนี้ อย่าให้คุณพ่อและครอบครัวของคุณพ่อเค้าทราบ

Fatma, in the name of the Father, the Son, the Holy Spirit, ...

ฟัตมา ในนามของพระบิดา, พระบุตร, และพระจิต ...

เธอได้สอนลูกสาวเธอ ฟัตมา ในเรื่องการขอพรจากพระเจ้า เธอได้เอาไม้กางเขนมาให้ลูกเธอจูบพร้อมกับบอกว่า นี่เป็นสิ่งที่จะดูแลพวกเราเพราะฉะนั้นเราต้องเชื่อมัน เธอสอนในแบบที่เธอได้เรียนรู้มา ไม่ว่าจะเป็นการขอพรจากนางฟ้า จากเทวดา จากพระนางเมรี เซนต์ต่างๆ ฯลฯ วันหนึ่งเธอเกิดนึกไม่ออกแล้วว่าจะขอพรจากใครได้อีก เธอเลยบอกลูกสาวเธอว่า

Well, Fatma, we gonna ask God!!!

โอเค ฟัตมา เราจะขอพรจากพระเจ้า!!!

ลูกสาวเธอเลยถามไปว่า แล้วพระเจ้านี่ใครเหรอ? เธอสอนลูกเธอไปว่า พระเจ้าคือผู้ที่สร้างเรา สร้างพ่อแม่ของเรา และท่านนั้นนิรันดร ไม่มีวันตายไม่มีวันเกิด จากนั้นเธอก็เอาไม้กางเขนมาให้ลูกสาวเค้าไหว้อีก แล้วบอกลูกสาวเค้าไปว่า ฟัตมา ขอบคุณพระเจ้าซะ คราวนี้ลูกสาวงง เลยถามแม่ไปว่า แล้วนี่มันอะไรล่ะแม่ เธอบอกลูกสาวเธอไปว่า ก็พระเจ้างัย บุตรของพระเจ้า (อัสตัฆฟิรุลลอฮฺ) ลูกสาวเธอเลยถามไปแบบงงๆ ว่า ก็ไหนว่าพระเจ้าไม่มีวันเกิดไม่มีวันตาย แล้วไหงอันนี้ตายละแม่?

And I, I...have never ever in my whole life realized that FACT!!!

และฉัน... ทั้งชีวิตของฉันไม่เคยนึกถึงหลักความจริงเรื่องนี้เลย ไม่เคย!!!

ลูกสาวเธอไม่หยุดถามอีก แล้วพระเจ้ามาจากไหนล่ะ พอเธออธิบายว่าเกิดมาจากพระนางมัรยัม (อัสตัฆฟิรุลลอฮฺ) ลูกเธอก็เลยร้องอ๋อ... มีคนให้กำเนิดท่าน...แล้วก็ถามเธออีกว่า ก็ไหนว่าพระเจ้าไม่มีจุดเริ่มต้นไม่มีที่สิ้นสุดล่ะ? แล้วทำไมคนนี้มีวันเกิด? ลูกสาวเธอถามว่า ก็ไหนว่าพระเจ้ามีอำนาจทำได้ทุกอย่างแล้วทำไมเราต้องขอพรจากอันนั้นอันนั้น ไม่ว่าจะเป็น เซนต์ นางฟ้า? ทำไมล่ะแม่? และอีกหลายๆ คำถามที่เธอตอบไม่ได้และตกใจเป็นอย่างมากกับทุกๆ คำถามที่ลูกสาวของเธอถามมา ลูกสาวเธอกล่าวว่ามันขัดแย้งกันเองน่ะแม่ ตอนนั้น เธอตอบไม่ได้จริงๆ คิดแต่เพียงว่า จะทำอย่างไรให้ลูกสาวเค้าเชื่อในคริสเตียน เธอเลยบอกลูกเธอไปว่า

You must believe in it!!!

เธอต้องเชื่อมัน!!!

เธอบอกด้วยว่า ที่ผ่านมาเธอไม่เคยนึกถึงเรื่องการขอพรจากพระเจ้าองค์เดียว เชื่อในความเป็นพระเจ้าองค์เดียวที่เราไม่ต้องพึ่งตัวกลาง เธอไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย เพราะมันเป็นความเคยชินจากการปลูกฝังเรื่องศาสนาของเธอมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว

เธอรู้สึกสับสนกับหลายๆ คำถามของลูกสาวเธอมากๆ เพราะเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยถามตัวเองมาก่อน หลายอย่างมีความขัดแย้งกันเอง เธอเลยตัดสินใจไปปรึกษานางชีและคนอื่นๆที่คอนเวนท์ แต่แล้วเธอก็ไม่ได้คำตอบอะไร นอกเสียจากคำว่า เธอต้องเชื่อมันเพราะมันเป็นศาสนาของเธอ และนั่นเป็นสิ่งที่ไบเบิลบอกมา แต่พอเธอถามต่อว่าทำไมหลายๆ บทในคำภีร์ไบเบิลมีการขัดแย้งกันเอง บาทหลวงก็ตอบไม่ได้ เธอก็ขอดูไบเบิลของแท้ บาทหลวงก็ให้ไม่ได้ ไม่ว่าจะถามอะไรคนที่โบสถ์ก็ไม่สามารถให้คำตอบที่สมเหตุสมผลได้ ผ่านไปสามวัน เธอเลยออกมาจากโบสถ์ด้วยความผิดหวังเพราะไม่สามารถหาคำตอบและความจริงได้ นอกจากความผิดหวังแล้ว เธอก็หมดศรัทธาในศริสเตียนโรมันคาทอลิคไปมาก เธอรู้สึกว่ามันมีความว่างเปล่าในจิตใจของเธอ เธอเลยตัดสินใจขอพรจากพระเจ้า

โอ้พระเจ้า ได้โปรดชี้ทางนำให้ด้วย ควรจะทำตามใครดี? เพื่อจะไปสู่ท่านได้โดยตรง? คริสเตียน? หรือ มุสลิม?

เธอกล่าวว่า ในความรู้สึกของเธอ อิสลามก็ไม่ได้มีดีอะไร หนุ่มๆ มุสลิมตามถนนหนทาง (เข้าใจว่าตอนนั้นเธอย้ายไปอยู่ที่ประเทศแถบอาหรับ) ก็เหมือนๆ ฝรั่ง เหมือนคนชาติอื่นๆ ไม่เห็นว่าจะดีเด่นกว่าคนที่นับถือศาสนาอื่นเลย ส่วนสาวๆ ก็เหมือนกัน แต่งหน้ากันข้างละเป็นกิโล ผ้าคลุมก็ใส่ครึ่งหัว มันเห็นได้ชัดว่าแต่ละคนทำไปเพราะมันเป็นวัฒนธรรมอาหรับมากกว่าการทำไปเพราะความเชื่อในอิสลาม เพราะฉะนั้นก็ไม่แตกต่าง ไม่มีอะไรที่ทำให้เค้ารู้สึกว่าอิสลามดีกว่าคริสเตียนแต่อย่างใด

เพราะฉะนั้น ตลอดทั้งเดือน เธอมองลูกสาวที่เฝ้ารอคำตอบที่เคยถามไป เธอเองไม่สามารถหาคำตอบให้ลูกสาวเธอได้ เธอจึงเฝ้าขอพรจากพระเจ้า โอ้พระเจ้า ได้โปรดชี้ทางนำให้ด้วย ควรจะทำตามใครดี? ช่วยเธอด้วย ไม่ว่าจะก่อนนอนหลังจากตื่นนอนเธอก็ยังคงขอพรจากพระเจ้าให้ชี้นำทางที่แท้จริงให้แก่เธออย่างต่อเนื่อง

ประมาณก่อนหน้าที่จะถึงเดือนรอมฎอนได้ไม่นาน มีคืนหนึ่งเธอฝัน ความฝันที่เปลี่ยนชีวิตเธออย่างถาวร เธอฝันเห็นเธอและลูกสาวเธอแต่งกายตามแบบอิสลามอยู่กันในห้องเล็กๆ ในตอนนั้นเธอกำลังทำการสุญูด(กราบที่พื้นตามแบบอิสลาม เหมือนในตอนละหมาด) พร้อมๆกับกล่าวคำว่า

อัลลอฮุอักบัร อัลลอฮุอักบัร อัลลอฮฺผู้ยิ่งใหญ่ อัลลอฮฺผู้ยิ่งใหญ่

ทุกๆ ครั้งที่เธอกล่าวคำนี้ อัลลอฮุอักบัร อัลลอฮฺผู้ยิ่งใหญ่ ตัวของเธอก็โตขึ้น โตขึ้นเรื่อยๆ เธอมีความรู้สึกโล่งและดีใจ เธอรู้ว่า นี่ต้องเป็นหนทางที่ถูกต้องแน่นอน ...และในขณะนั้น ข้างๆ ห้องที่เธออยู่กับลูกสาวเธอนั้น เธอได้เห็นชัยฏอน นัยน์ตาเป็นสีแดง ชัยฏอนจะไม่เข้ามาในห้องที่เธอและลูกเธออยู่ ชัยฏอนได้บอกเธอว่า

ห้ามเป็นมุสลิม จะเชื่ออะไรก็ได้ แต่อย่าเชื่อในอิสลาม เป็นอะไรก็ได้ แต่อย่าเป็นมุสลิมเด็ดขาด

ชัยฏอนก็เริ่มพูดคำหยาบ พยายามทำให้เธอกลัว เธอเอง...ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า เพราะอะไร เธอได้กล่าวคำว่า อาอูซูบิลลาฮิ มินัชชัยฏอนิรรอญีมขอให้อัลลอฮฺปกป้องเธอจากชัยฏอน) เธอไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเธอกล่าวคำนั้นเป็นภาษาอาหรับได้อย่างไร หลังจากที่เธอกล่าว ชัยฏอนก็ได้หายไป ตอนนั้นเธอไม่รู้สึกกลัวอะไรเลย เธอก็ยังคงทำตักบีร อัลลอฮุอักบัร อัลลอฮฺผู้ยิ่งใหญ่ ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ตัวเธอและลูกๆ ของเธอก็โตขึ้นๆ และนอกจากนั้นเธอยังกล่าวคำว่า สุบหานะร็อบบิยัลอะอฺลา (อัลลอฮฺผู้สูงส่ง) ในขณะที่กราบที่พื้น (

จากนั้น เธอก็รู้สึกตัว...เธอตื่นจากความฝัน ในเวลาเดียวกันเป็นเวลาละหมาดศุบห์ (ละหมาดช่วงรุ่งอรุณ) คราวนี้เธอตัดสินใจกล่าวตักบีรในขณะที่เธอรู้สึกตัว

อัลลอฮุอักบัร อัลลอฮุอักบัร

เธอเองรู้สึกดีใจมาก เธอเชื่อว่านั่น อัลลอฮฺได้ตอบรับพรของเธอ เธอดีใจมากๆ เธอดีใจที่อัลลอฮฺชี้ทางเธอ และเธอขอให้เป็นคนที่ถูกเลือกให้เป็นมุสลิมตลอดไป เพราะนั่นหมายถึงการที่ไม่ต้องลงนรก ความแตกต่างระหว่างมุสลิมกับไม่ใช่มุสลิมคือ ถ้าไม่เป็นมุสลิมแล้ว ไม่ใช่ว่าจะต้องถูกทำโทษโดยการตกนรกหนึ่งปี ร้อยปี หรือพันปี แต่มันจะตลอดไป เธอดีใจที่อัลลอฮฺชี้ทางเธอ และเธอขอให้เป็นคนที่ถูกเลือกให้เป็นมุสลิมตลอดไป เช้าของวันนั้น เธอตัดสินใจกล่าวชะฮาดะฮฺ

ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และมูฮัมหมัด คือศาสนทูตของอัลลอฮฺ และเมื่อเดือนรอมฎอนเริ่มเธอก็ถือศีลอดอย่างมีความสุข

จริงๆ แล้ว เธอกล่าวว่าเช้าวันนั้นเธอวุ่นมาก วุ่นหาผ้าคลุม เสื้อผ้าที่ถูกต้องเพราะเธอต้องการเป็นมุสลิมในตอนนั้นเลย เธอเอาผ้าอะไรก็ได้ที่หาเจอในวันนั้นมาคลุมเป็นผ้าคลุมไปก่อน เพราะเธอต้องการอยู่ในแนวทางที่ถูกต้องในทันที หลังจากนั้น...หลังจากที่เธอตัดสินใจเข้ารับอิสลาม เธอมีความรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยว่าทำไม ไม่เคยมีใครสอนเธอ ไม่เคยมีใครบอกเธอ ทำไม? หรือเค้าเหล่านั้นไม่รู้คุณค่าของอิสลาม? ไม่รู้ว่ามันมีค่าแค่ไหน บางคนก็แทบไม่สนใจศาสนาตัวเองเลย

เพราะเหตุนั้น เธอตัดสินใจว่า เธอจะคนเผยแพร่ศาสนาอิสลามเอง เผยแพร่เท่าที่ความรู้ที่เธอมีอยู่ หากเป็นพระประสงค์ของอัลลอฮฺ

หลังจากเธอเข้ารับอิสลาม เธอก็สองจิตสองใจว่า ควรไปเยี่ยมครอบครัวเธอเมื่อไหร่ดี แต่เธอคิดว่าไม่วันใดก็วันนึง เธอก็จะต้องไปเยี่ยมพวกท่านอยู่แล้ว วันที่เธอตัดสินใจกลับไปเยี่ยมครอบครัวของเธอ ในสภาพที่เป็นมุสลิมะฮฺแน่นอนว่าพวกเค้าต้องเห็นเธอและฮิญาบ(ผ้าคลุม)ของเธอ เพราะเธอไม่เคยคิดจะถอดฮิญาบออกอยู่แล้ว เพราะฮิญาบเป็นหน้าที่ของเธอ เป็นศรัทธาที่เธอมีต่ออิสลาม อีกอย่างมันเป็นอีกหนทางนึงของการเชิญชวนอีกด้วย ถึงแม้ว่าเพิ่งเป็นมุสลิมแค่ปีเดียว ถึงแม้จะรู้แค่ ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ มูฮัมหมัด รอซูลลุลลอฮฺ เธอก็จะเผยแพร่มันออกไป เท่าที่ทำได้ เพราะฉะนั้นการกลับไปเยี่ยมบ้านของเธอเป็นการท้าทายอย่างมาก ไม่มั่นใจว่าพวกเค้าจะรับเธอได้หรือไม่

พอเธอเดินทางถึง ประมาณว่าทุกคนต้องการเจอเธอ เหมือนเธอเป็นคนแปลก คนใหม่ จริงๆ แล้ว เธอก็ยังเป็นเธอคนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง จะแตกต่างก็เพียงแค่ความศรัทธาต่อพระเจ้าที่ออกมาจากตัวเธอ (เพราะคริสเตียนจะแยกว่า ศรัทธาอยู่ที่ใจ ชีวิตประจำวันก็ดำเนินปกติ) เวลาเธอละหมาด ทุกคนอยากรู้มากกว่าเธอทำอะไรอยู่ แต่ก็เกรงใจที่จะถามเธอตรงๆ หลังจากที่ละหมาดเสร็จ ก็มีการถามว่า นั่นเธอออกกำลังกายเหรอ? ไม่ก็ถามว่า อืม ตอนนี้เธอเชื่อใน นางเทเรซ่าเหรอ? (Mother Teresa of Calcutta) เธอก็ตอบพวกเค้าไปว่า เธอเป็นมุสลิม ตัวจริงเสียงจริง เราไม่จำเป็นต้องเป็นนางชีหรอก ถ้าจะปฏิบัติตนในทางศาสนา แต่พวกเขาไม่เข้าใจ เขาเข้าใจว่าคนที่คลุมผ้าก็จะมีแต่พวกนางชี เธอก็อธิบายว่า ถ้าเราศรัทธาเราก็ปฏิบัติเลย เช่น นางแมรี (มัรยัมแม่ของนบีอีซา) นางคลุมฮิญาบ นางเป็นสตรีที่ดีที่สุด เป็นตัวอย่างที่ดี่ที่สุด เมื่อนางคลุมเราก็คลุมเหมือนนาง ไม่เห็นแปลก อะไร

If you believe in it, you do it!!

ถ้าเราเชื่อ เราศรัทธา เราก็ปฏิบัตตาม!!

การเข้ารับอิสลามของเธอ เป็นอะไรที่สร้างความประหลาดใจให้ทุกคนเป็นอย่างมาก เพราะภาพอิสลามและมุสลิมในแม๊กซิโกมีแต่ทางลบ มีเดียต่างๆ ส่วนมากได้รับอิทธิพลจากอเมริกาที่มักจะโยงมุสลิมกับการก่อการร้าย ทำให้พวกเขาไม่เข้าใจว่า ทำไมเธอเข้ารับอิสลาม เขาไม่เข้าใจว่า มุสลิมที่ดีก็มีเยอะ เธออธิบายพวกเค้าไปว่า จริงๆ ก็เหมือนกันทุกศาสนา คริสเตียนก็มีทั้งที่ดีและไม่ดี มุสลิมก็เช่นกัน และเธอยังหวังอีกว่า เรามุสลิมจะเป็นพี่น้องกัน จริงๆแล้วเธอให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ไม่ใช่ว่า

ฉันแม๊กซิกัน

ฉันอาหรับ

ฉันเอธิโอเปียน

ฉันจีน

ฯลฯ

อันดับแรก เราเป็นมุสลิม เราเป็นพี่น้องกัน

จริงๆ แล้วเราควรแนะนำว่าตัวเองเป็นมุสลิม ส่วนเรื่องเชื้อชาติ มันไม่ได้สำคัญอะไรเลย เธอหวังว่า ทุกคนจะคิดเหมือนเธอ จริงอยู่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะเวลาไปไหนมาไหน ก็จะเจอแต่คนแนะนำตัวเองเรื่องเชื้อชาติก่อนเป็นอันดับแรกว่าเป็นคนที่ไหนอย่างไร แต่สำหรับเธอแล้วถ้าใครถามว่าเธอเป็นใครมาจากไหนเธอจะตอบไปว่า

ฉันเป็นมุสลิม และเป็นชาวแม๊กซิกัน ซึ่งอย่างหลังไม่ได้สำคัญอะไรเลย

จริงๆ แล้วตอนที่ฉันรับอิสลามในตอนแรก ลูกสาวเธอก็แปลกใจและถามเธอไปว่า ก็ไหนว่าอย่าเชื่อฟังคนอาหรับ? เธอก็อธิบายลูกสาวเธอไป จริงอยู่ในตอนแรกเธอคิดอย่างนั้นจริงๆ อาหรับหรืออิสลามเธอคิดว่าเป็นอันเดียวกันเพราะการเป็นอยู่ของมุสลิมทั่วๆ ไปตามท้องถนนในอาหรับ พวกเค้าไม่ค่อยสนใจเรื่องเผยแพร่ การปฏิบัติตนตามแบบอิสลามอย่างจริงจัง ชีวิตการเป็นอยู่ของคนเหล่านั้นแทบจะแยกไม่ออกว่าอันไหนอิสลามอันไหนวัฒนธรรมอาหรับ

เพราะเหตุนั้น เธอเชื่อและตั้งใจว่า เธอจะสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของอิสลาม ด้วยความรู้เท่าที่เธอมีอยู่.



ดูวิดีโดจาก Youtube ได้ที่ : http://www.youtube.com/v/WFO3uM4KUDY

ถอดความและเรียบเรียงใหม่โดย ซันไชน์

เรื่องราวการรับอิสลาม : อามีนะฮ์ อัซซิลมี

เรื่องราวการรับอิสลาม : อามีนะฮ์ อัซซิลมี
[ ไทย
]


قصة إسلام الأخت أمينة السلمي
[ باللغة التايلاندية ]


แปลและเรียบเรียงโดย
ซันไชน์



ตรวจทาน: ซุฟอัม อุษมาน
مراجعة: صافي عثمان





สำนักงานความร่วมมือเพื่อการเผยแพร่และสอนอิสลาม อัร-ร็อบวะฮฺ กรุงริยาด
المكتب التعاوني للدعوة وتوعية الجاليات بالربوة بمدينة الرياض
1428 – 2007



Aminah Assilmi (อามีนะฮ์ อัซซิลมี) A girl on a mission
ซันไชน์ แปลและเรียบเรียง

"ฉันดีใจมากที่ได้เป็นมุสลิม อิสลามคือวิถีชีวิตของฉัน อิสลามมันเต้นอยู่ภายในจิตใจของฉัน อิสลามเป็นเลือดเนื้อที่ไหลเวียนในร่างกายฉัน อิสลามคือความแข็งแรงของฉัน อิสลามให้ชิวิตที่น่าพิศวงและสวยงามแก่ฉัน และเพียงแค่อัลลอฮฺเบนหน้าอันสง่าผ่าเผยของพระองค์ไปจากฉันเพียงน้อยนิด ฉันคงไม่สามารถมีชิวิตรอดมาได้"

ชีวิตของ อามีนะฮ์ อัซซิลมี..ก่อนและหลังตัดสินใจเปลี่ยนเป็นมุสลิม

ณ สหรัฐอเมริกา, ในปี 1975 เป็นปีแรกที่มีการใช้คอมพิวเตอร์ในการลงทะเบียนเรียนในวิทยาลัยของเธอ เธอเรียนทางด้านการละเล่น (recreation) หลังจากที่เธอลงทะเบียนเรียนเรียบร้อยแล้ว เธอได้ออกเดินทางไปเมือง Oklahoma เพื่อดูแลธุรกิจของเธอ ด้วยเหตุผลบางประการทำให้เธอเดินทางกลับวิทยาลัยช้ากว่ากำหนดการสองอาทิตย์ เรื่องการเดินทางที่ล่าช้านั้นไม่มีปัญหาสำหรับเธอในเรื่องการทำงาน แต่สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจอย่างยิ่งคือ การลงทะเบียนทางคอมพิวเตอร์เกิดความผิดพลาดทำให้เธอได้วิชาที่เธอไม่ได้เลือกไว้ นั่นคือวิชาการละคร วิชาที่นักศึกษาต้องออกไปแสดงต่อหน้าผู้คน
ปกติแล้วเธอเป็นคนพูดน้อยมาก และจะเป็นคนที่ตื่นเต้นเป็นพิเศษเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าผู้คน เธอไม่สามารถเปลี่ยนวิชาตัวนี้ได้ เพราะมันเลยกำหนดการไปแล้ว การสอบตกมันก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีแน่นอนเพราะเธอเป็นนักเรียนทุน นั่นก็หมายความว่า การได้ “F“ เป็นเรื่องที่น่าเสี่ยงเกินไป
จากคำแนะนำของสามีของเธอ เธอได้ไปหาอาจารย์วิชาการละครเพื่อต่อรองให้เธอได้ทำงานอื่นแทนการแสดงอย่างเช่น การดูแลเครื่องแต่งกายเป็นต้น อาจารย์เธออนุญาติและตกลงให้เธอไปเรียนอีกวิชานึง...เมื่อเธอไปห้องเรียนวิชาดังกล่าว เธอตกใจมาก ในห้องเรียนเต็มไปด้วยนักศึกษาอาหรับและ “อูฐจอมหลอกลวง“ มันเพียงพอสำหรับเธอแล้วจริงๆ เธอกลับบ้านและตัดสินใจว่าจะไม่ไปเรียนในห้องนั้นเด็ดขาด มันเป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ท่ามกลางชาวอาหรับ “ไม่มีทางที่ฉันจะนั่งอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยคนนอกศาสนาที่สกปรก!“
สามีของเธอเป็นคนที่ค่อนข้างใจเย็น เขาชี้ให้เห็นว่าพระเจ้ามีเหตุผลในทุกๆสิ่งที่พระองค์ได้มอบให้ เธอควรคิดให้มากกว่านี้ก่อนจะตัดสินใจเลิก ในขณะเดียวกันได้เตือนสติให้คำนึงถึงเรื่องทุนการศึกษาที่เธอได้รับด้วย เธอใช้เวลาตัดสินใจเงียบๆอยู่สองวัน ในที่สุดเธอตัดสินใจกลับไปเรียนในห้องเรียนดังกล่าว เธอรู้สึกว่าพระเจ้าได้มอบหน้าที่เผยแพร่ศาสนาต่อเธอ เธอจะต้องเปลี่ยนชาวอาหรับเหล่านั้นให้นับถือศาสนาคริสต์ให้ได้
เธอค้นพบว่าเธอมีภาระหน้าที่ที่ต้องทำให้สำเร็จ ตลอดเวลาเธอจะสนทนากับเพื่อนๆของเธอเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ “ฉันยังคงอธิบายต่อไปว่า เขาเหล่านั้นจะลงนรกและอยู่ในนั้นตลอดไปหากเขาไม่ยอมรับพระเยซูเป็นผู้ปลดปล่อย (personal savior) เขาเหล่านั้นสุภาพมากแต่ก็ไม่ยอมเปลี่ยนศาสนาเป็นคริสต์อยู่ดี ฉันอธิบายพวกเขาว่าพระเยซูรักพวกเรามากและได้ตายบนไม้กางเขนเพื่อช่วยชะล้างบาปของพวกเรา สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องทำคือการยอมรับท่านด้วยจิตใจ“ เขาเหล่านั้นก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนเป็นคริสเตียน ทำให้เธอตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง “ฉันตัดสินใจอ่านหนังสือของพวกเขา เพื่อสามารถอธิบายพวกเขาได้ว่า ศาสนาของพวกเขาไม่ถูกต้องอย่างไร และมูฮัมหมัดเป็นพระเจ้าตัวปลอม"
ด้วยปรารถนาของเธอ เพื่อนของเธอคนหนึ่งได้มอบคำภีร์อัลกุรอ่านและหนังสือเกี่ยวกับศาสนาอิสลามแก่เธอ ด้วยหนังสือเหล่านี้ เธอเริ่มทำการศึกษา ซึ่งมันกลายเป็นการศึกษาที่ต่อเนื่องถึงหนึ่งปีครึ่ง เธอได้อ่านอัลกุรอ่านทั้งเล่มบวกกับหนังสือเกี่ยวกับอิสลามอีกสิบห้าเล่ม สลับกันไปสลับกันมากับอัลกุรอ่าน ระหว่างที่เธอทำการศึกษาเกี่ยวกับอิสลามนั้น เธอจะบันทึกไว้ในส่วนที่สามารถเอาคัดค้านได้ และสามารถใช้ในการพิสูจน์เพื่อนๆในห้องเรียนของเธอได้ว่าศาสนาของพวกเขาเป็นศาสนาที่ปลอม
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คาดไม่ถึงคือเธอได้เปลี่ยนไปทีละน้อยๆอย่างไม่รู้สึกตัว แต่มันกลับไม่รอดสายตาของสามีเธอ “ฉันเปลี่ยนไปทีละน้อยๆ แต่มันเยอะพอที่เธอสร้างความรำคาญให้สามีของฉัน เราเคยออกไปนอกบ้านด้วยกันในวันศุกร์และวันเสาร์ เราเคยไปปาร์ตี้ด้วยกัน แต่หลังๆฉันกลับรู้สึกไม่อยากออกไปไหน ฉันเงียบลง และค่อนข้างห่างเหิน“ เธอเลิกดื่มเหล้าและเลิกกินหมู สามีของเธอสงสัยว่าเธอติดพันหนุ่มอื่นอยู่ เพราะ “มันมีแค่เหตุผลเดียว เพื่อผู้ชายเท่านั้นที่ทำให้ผู้หญิงเปลี่ยนแปลงตัวเองได้มากขนาดนี้“ ในที่สุด สามีเธอขอร้องให้เธอออกไปอยู่ที่อื่น
“ตอนที่ฉันเริ่มเรียนเกี่ยวกับอิสลาม ฉันไม่ได้คาดหวังว่าจะพบสิ่งที่ฉันต้องการเพื่อการดำเนินชีวิตของฉัน ฉันไม่คิดเลยว่าอิสลามจะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของฉัน หรือไม่คิดว่าใครจะสามารถโน้มน้าวจริงใจฉันได้ว่า อิสลามจะทำให้ฉันพบความสันติและมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความรักและปีติ"
ตลอดช่วงเวลานั้น เธอยังคงศึกษาเกี่ยวกับอิสลามต่อไป ถึงแม้ว่ามันทำให้เธอเปลี่ยนไปทีละน้อยแต่เธอก็ยังคงเป็นผู้อุทิศตนเพื่อศาสนาคริสต์อยู่ มีอยู่วันหนึ่งซึ่งค่อนข้างทำให้เธอประหลาดใจเป็นอย่างมาก มีคนมาเคาะประตูห้องของเธอ พอเธอเปิดประตู เธอพบชายแต่งกายเป็นอาหรับชื่อว่า อับดุลอาซิส อัลชีค (Abdul-Aziz Al-Sheik) มาพร้อมกับเพื่อนของเขาอีกสามคน มันทำให้เธอรู้สึกรำคาญมากกับการแต่งกายของเขาเหล่านั้น ชุดยาวแบบอาหรับ และสิ่งที่ทำให้เธอตกใจยิ่งกว่าคือเมื่อเธอได้ยินชายคนนั้นพูดว่า เขาคิดว่าเธอพร้อมที่จะเปลี่ยนเข้ารับศาสนาอิสลาม เธอตอบไปว่าเธอเป็นคริสเตียนและไม่ได้มีแผนการที่จะเปลี่ยนศาสนา แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เธอก็เชิญคนเหล่านั้นเข้าบ้านเพราะเธอมีคำถามมากมายที่จะถามหากพวกเขามีเวลา
หลังจากได้รับคำเชิญจากเธอ ชายเหล่านั้นก็เข้าบ้านของเธอ หลังจากนั้นเธอก็เริ่มถามคำถามต่างๆเกี่ยวกับอิสลามที่เธอได้จดบันทึกไว้แล้วตอนที่เธอศึกษาเกี่ยวกับอิสลาม “ฉันจะไม่ลืมชื่อของชายคนนั้น“ เธอกล่าวว่า อับดุลอาซิส อัลชีคเป็นคนที่อดทนและอ่อนโยนมาก “เขาใจเย็นมากในการสนทนาและตอบทุกๆคำถาม เขาไม่เคยทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันโง่หรือถามคำถามโง่ๆ“ อับดุลอาซิส อัลชีคฟังทุกๆคำถามและโต้แย้งและอธิบายทุกอย่างในเรื่องนั้นๆ “เขาอธิบายว่าอัลลอฮฺได้บอกพวกเราว่า เราต้องศึกษาหาความรู้และการถามคือหนึ่งในหนทางการหาความรู้ เวลาเขาอธิบายแต่ละอย่าง มันเหมือนกับกลีบดอกไม้บานทีละกลีบๆ จนกระทั่งมันบานเต็มที่ เวลาฉันบอกเขาไปว่าฉันไม่เห็นด้วยกับบางเรื่องและบอกด้วยว่าทำไม เขาตอบกลับมาเสมอว่ามันถูกส่วนหนึ่งและเขาได้สอนให้ฉันวิเคราะห์ให้ลึกซึ้งกว่านั้น และสอนวิธีการมองจากมุมอื่นๆด้วย เพื่อจะได้รับความเข้าใจที่ครบถ้วน“ มันใช้เวลาไม่นานนักสำหรับเธอกับการยอมรับอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับอิสลาม เพราะในความเป็นจริงแล้วภายในใจของเธอ เธอได้ยอมรับมันมานานกว่าหนึ่งปีครึ่งแล้ว ในวันเดียวกันนั้น เธอได้กล่าว ซาฮาดะฮ ต่อหน้าอับดุลอาซิส และเพื่อนของเขา “ฉันขอสาบานว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และมูฮัมหมัดเป็นศาสนทูตของพระองค์" มันเกิดขึ้นในวันที่ 21 May 1977.
การเข้ารับศาสนาอิสลาม หรือ ศาสนาอะไรก็ตาม มันไม่ง่ายอย่างที่คิดเสมอไป ยกเว้นในบางคนเท่านั้น เพราะโดยทั่วไปแล้ว คนๆนั้นต้องเผชิญกับผลลัพธ์ที่จะตามมา มุอัลลัฟอาจจะต้องเผชิญกับความโดดเดี่ยวจากครอบครัวและเพื่อนๆ ถ้าหายไม่ยอมให้ถูกบังคับให้กลับไปนับถือศาสนาที่ครอบครัวนั้นๆนับถืออยู่ ในบางครั้งมุอัลลัฟอาจจะต้องเผชิญกับปัญหาด้านการเงิน เช่นในกรณีที่ถูกให้ออกจากบ้านด้วยเหตุผลการเข้ารับอิสลาม บางคนอาจจะยังคงได้รับความเคารพจากครอบครัวเหมือนเดิมแต่ก็ยังเจอการต่อต้านลึกๆในช่วงแรกๆของการเข้ารับอิสลาม
แต่สำหรับกรณีของ อามีนะฮ์ อัซซิลมี นั้น สิ่งที่เธอต้องเผชิญหลังจากการเข้ารับอิสลามนั้น มันไม่เคยได้ยินมาก่อน เธอต้องเสียสละอย่างใหญ่หลวงเพื่อแลกกับความเชื่อมั่นและศรัทธาในศาสนาอิสลามของเธอ น้อยคนนักที่จะมอบความไว้วางใจต่ออัลลอฮฺเหมือนกับกรณีของเธอ เธอยืนหยัดที่จะเผชิญกับความท้าทายเหล่านั้น เธอตัดสินใจเสียสละสิ่งที่สำคัญยิ่ง ในขณะเดียวกัน เธอยังคงสามารถรักษาท่าทีในเชิงบวกและให้แรงจูงใจต่อผู้คนรอบข้างเกี่ยวกับความงามที่เธอเพิ่งค้นพบและความเชื่อในอิสลาม
เธอเสียเพื่อนแทบทุกคนของเธอ เพราะเธอ... “ไม่สนุกสนานเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว“ แม่ของเธอไม่ยอมรับกับการเข้ารับศาสนาอิสลามของเธอและยังคงเชื่อมั่นว่าซักวันหนึ่งเธอจะเบื่อและกลับไปเป็นเหมือนเดิม ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคประสาทหรือพี่สาวของเธอนั่นเองคิดว่าเธอมีปัญหาทางด้านจิตใจจนเกือบจะพาเธอไปส่งที่สถาบันโรคจิต ส่วนพ่อของเธอซึ่งปกติแล้วเป็นคนใจที่เย็นมากและเป็นคนที่มีความรู้สูง หลายต่อหลายคนมักจะมาหาพ่อของเธอเพื่อขอคำปรึกษาในปัญหาต่างๆ โดยที่ปกติแล้วพ่อของเธอสามารถให้คำแนะนำกลับไปและทำให้คนเหล่านั้นหายจากความโศกเศร้า แต่สำหรับกรณีของเธอกับการเข้ารับอิสลามนั้น พ่อของเธอตัดสินใจเอาปืนออกมาเพื่อเอามายิงเธอ พ่อของเธอกล่าวว่า “จะดีเสียอีกถ้าเธอตายไป ดีกว่าจะต้องรับความทรมานในนรก"
ถึงตรงนี้ เธอไม่มีเพื่อน ไม่มีครอบครัว หลังจากนั้นไม่นานเธอตัดสินใจคลุมฮีญาบ ในวันที่เธอตัดสินใจสวมฮีญาบนั้น เธอถูกไล่ออกจากงาน ทำให้ นอกจากไม่มีเพื่อน ไม่มีครอบครัวแล้ว เธอยังไม่มีงานทำอีกด้วย แต่สิ่งเหล่านี้ มันยังไม่ใช่สิ่งที่เธอกล่าวว่าเธอต้องสูญเสียอย่างใหญ่หลวง
เธอและสามีของเธอรักกันมาก แต่ในระหว่างที่เธอตัดสินใจศึกษาเกี่ยวกับศาสนาอิสลามนั้น สามีของเธอเข้าใจผิดคิดว่าเธอกำลังมีคนอื่น เพราะเธอเงียบลงและไม่ค่อยออกไปไหน การเปลี่ยนแปลงของเธออยู่ในสายตาของสามีเธอมาตลอดและนั่นทำให้เกิดความสงสัยแก่สามีของเธอ เธอไม่สามารถอธิบายได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของเธอนั้นไม่เกี่ยวกับชายอื่น แต่มันเป็นการยากที่ผู้ชายคนหนึ่งจะเชื่อได้ว่า ผู้หญิงคนหนึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ขนาดนี้โดยที่ไม่เกี่ยวกับชายอื่นเลย ในที่สุดสามีของเธอขอให้เธอออกไปอยู่ที่อื่น ทำให้เธอต้องอยู่คนเดียว หลังจากเธอเข้ารับศาสนาอิสลาม ความสัมพันธ์ยิ่งเลวร้ายลง เธอหนีไม่พ้นกับการหย่าร้าง ในช่วงนั้น ผู้คนไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับอิสลามมากนัก เธอมีลูกเล็กๆอยู่สองคน เธอรักพวกเขามากที่สุด และโดยปกติแล้วสิทธิการเลี้ยงดูบุตรควรจะเป็นของเธอ แต่เธอได้รับการดูหมิ่นอย่างรุนแรงจากศาล เธอถูกปฏิเสธในสิทธิการเลี้ยงดูบุตรเพียงเพราะเธอเปลี่ยนเป็นมุสลิม ก่อนที่ศาลจะตัดสินให้คำชี้ขาด ศาลได้ให้ข้อเสนอเธอเพียงสองประการ เธอต้องเสียสละศาสนาใหม่ของเธอเพื่อแลกกับสิทธิการเลี้ยงดูบุตร ถ้าไม่แล้วเธอจะไม่ได้รับสิทธิการเลี้ยงดุบุตร ศาลให้เวลาในการตัดสินใจของเธอเพียง 20 นาที
เธอรักลูกๆของเธอมาก มันเหมือนกับฝันร้ายที่สุดที่แม่คนหนึ่งเคยเจอ กับการขอให้เธอเต็มใจที่จะสูญเสียลูกๆของเธอไป ไม่ใช่แค่เพียงหนึ่งวัน หนึ่งเดือน หรือหนึ่งปี แต่มันเป็นการสูญเสียตลอดไป ในทางกลับกัน เธอก็ไม่สามารถที่จะปกปิดความเป็นจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เธอเพิ่งค้นพบได้ เธอไม่สามารถอยู่อย่างหน้าไหว้หลังหลอกได้ “มันเป็น 20 นาทีที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของฉัน“ เธอได้กล่างตอนที่เธอให้สัมภาษณ์ คนที่เป็นพ่อเป็นแม่ของลูกๆทุกคน ยิ่งถ้าลูกๆยังเล็กๆแล้ว มันไม่เป็นการยากเลยที่จะจินตนาการเกี่ยวกับความเจ็บปวดเหมือนที่เธอได้รับในทุกๆวินาทีที่ผ่านไป ในช่วง 20 นาทีนั้นที่เธอต้องคิดสำหรับการตัดสินใจ สิ่งที่ทำให้เธอเจ็บปวดมากที่สุดอีกอย่างนึงคือ คุณหมอเคยบอกเธอว่า เพราะเหตุผลบางอย่างเธอจะไม่มีโอกาสตั้งครรภ์ได้อีกต่อไป “ฉันได้ขอพรจากอัลลอฮฺอย่างกับฉันไม่เคยทำมาก่อนเลย ฉันรู้ว่าไม่มีที่ไหนที่ปลอดภัยสำหรับลูกๆของเธอนอกจากที่อัลลอฮฺ ถ้าฉันปฏิเสธพระองค์ ฉันจะไม่มีโอกาสแสดงให้ลูกๆของฉันเห็นถึงคุณค่าของอัลลอฮฺ“ ในที่สุด เธอตัดสินใจไม่ทิ้งศาสนาอิสลาม นั่นทำให้ลูกๆของเธอถูกนำไปมอบให้กับอดีตสามีของเธอ
สำหรับคนเป็นแม่แล้ว นี่เป็นการเสียสละอันใหญ่หลวง การเสียสละที่ไม่ใช่เพื่อสมบัติพัสถานใดๆ แต่เป็นการเสียสละเพื่อความศรัทธาและความเชื่อมั่นล้วนๆ “ฉันเดินออกจากศาลด้วยการรับรู้ว่า การมีชีวิตโดยปราศจากลูกๆนั้นยากลำบากแค่ไหน หัวใจของฉันบาดเจ็บ แต่กระนั้นก็ตาม ฉันเชื่อมั่นเสมอว่าฉันตัดสินใจถูกต้องแล้ว“ เธอรู้สึกดีขึ้นหลังจากอ่านกุรอ่านบทนี้...
“อัลลอฮฺนั้นคือไม่มีผู้ที่ถูกเคารพสักการะใดๆ ที่เที่ยงแท้ นอกจากพระองค์เท่านั้น ผู้ทรงมีชิวิต ผู้ทรงบริหารกิจการทั้งหลาย โดยที่การง่วงนอน และการนอนหลับใดๆ จะไม่เอาพระองค์ สิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้าและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินนั้นเป็นของพระองค์ ใครเล่าคือผู้ที่จะขอความช่วยเหลือให้แก่ผู้อื่น ณ ที่พระองค์ได้ นอกจากด้วยอนุมัติของพระองค์เท่านั้นพระองค์ทรงรู้สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของพวกเขาและสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขา และพวกเขาจะไม่ล้อมสิ่งใด จากความรู้ของพระองค์ไว้ได้นอกจากสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์เท่านั้นเก้าอี้พระองค์นั้นกว้างขวางทั่วชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และการรักษามันทั้งสองก็ไม่เป็นภาระหนักแก่พระองค์ และพระองค์นั้นคือผู้ทรงสูงส่ง ผู้ทรงยิ่งใหญ่" (อัล-กุรอ่าน 2:255)
“ผ้าคลุมผืนนี้ที่ฉันสวมใส่ เตือนผู้คนที่พบเห็นว่าฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่คุณจะยุ่งเกี่ยวด้วย มันได้แสดงให้เห็นว่าฉันมีความเป็นผู้หญิงด้วยจิตใจ และฉันรู้ว่าฉันมีค่ามากกว่าเป็นเพียงร่างกาย ผ้าคลุมผืนนี้ไม่ใช่การกดขี่เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นที่คุณต้องรู้สึกเห็นใจพวกเรา"
“หรือพวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้าจะได้เข้าสวรรค์โดยที่เยี่ยงอย่างของผู้ที่ล่วงลับไปก่อนพวกเจ้ายังมิได้มายังพวกเจ้าเลย ซึ่งบรรดาความลำบากและความเดือดร้อนได้ประสบแก่พวกเขาและพวกเขาได้รับความหวั่นไหวจนกระทั่งรอซูลและบรรดาผู้ศรัทธาซึ่งอยู่กับเขากล่าวขึ้นว่า เมื่อไรเล่าการช่วยเหลือของอัลลอฮฺ? พึงรู้เถิดว่าแท้จริงการช่วยเหลือของอัลลอฮฺใกล้อยู่แล้ว“ (อัล-กุรอ่าน 2:214)
บางทีบรรยากาศของความยุติธรรมที่ Colorado ยังเบาบางเกินไป บางทีอัลลอฮฺมีโครงการที่ใหญ่กว่านั้นก็ได้ หลังจากนั้นไม่นาน อามีนะฮ์ อัซซิลมี กลับไปต่อสู้คดีในศาลอีกครั้งและนำกรณีของเธอสู่สื่อมวลชน ถึงแม้ว่าในที่สุดเธอก็ยังไม่ได้รับสิทธิในการเลี้ยงดูบุตร แต่ก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการยุติธรรม ถึงกรณีการตัดสิทธิการเลี้ยงดูบุตรไม่ควรตัดสินบนพื้นฐานของศาสนา แน่นอนความรักที่มีต่ออัลลอฮฺได้กลืนสู่จิตใจของเธอมากเหลือเกิน ไม่ว่าเธอจะไปไหน ผู้คนจะได้สัมผัสถึงความสวยงามและกิริยาท่าทางต่างๆตามวิถีอิสลาม และทำให้คนจำนวนไม่น้อยเปลี่ยนเข้ารับศาสนาอิสลาม
เพราะการเข้ารับอิสลามของเธอ เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างในตัวเธอในทางที่ดี เธอเปลี่ยนเป็นคนที่ดีกว่าเดิม มันมากจนทำให้ครอบครัวของเธอ ญาติพี่น้องของเธอ และผู้คนรอบๆตัวเธอ เริ่มเกิดความประทับใจในความเสมอต้นเสมอปลายของเธอ เกิดความประทับใจในความศรัทธาต่อศาสนาที่มีในตัวเธอซึ่งทำให้เธอเปลี่ยนแปลงได้มากขนาดนี้ ถึงแม้ว่าครอบครัวของเธอปฏิบัติต่อเธอไม่ค่อยดีนักในตอนแรกที่ทราบเรื่องของเธอ แต่เธอก็ยังคงรักษาความสัมพันธ์ระหว่างกันเหมือนเดิม เธอยังคงเคารพพวกเขาโดยปราศจากความเย่อหยิ่ง เหมือนอย่างที่กุรอ่านสอนให้มุสลิมประพฤติตน เธอมักจะส่งการ์ดถึงพ่อแม่ของเธอตามโอกาสต่างๆ และแทบทุกครั้งไป เธอจะเขียนคำแปลกุรอ่านหรือไม่ก็คำแปลซุนนะฮลงไปในการ์ด โดยเธอจะไม่เขียนถึงที่มาของข้อความอันสวยงามนั้นๆ
เวลาผ่านไปไม่นาน สมาชิกคนแรกในครอบครัวของเธอที่ตัดสินใจเข้ารับอิสลามตามหลังเธอคือคุณย่าซึ่งอยู่ในวัยกว่า 100 ปี ของเธอนั่นเอง หลังจากที่ย่าของเธอเข้ารับอิสลามไม่นาน ย่าของเธอก็จากโลกนี้ไป “ในวันที่คุณย่ากล่าวซาฮาดะฮนั้น บาปต่างๆก็ถูกลบล้างไปหมดสิ้น ในขณะที่บุญต่างๆยังคงอยู่ คุณย่าได้เสียไปไม่นานหลังจากเข้ารับอิสลาม ซึ่งทำให้ฉันทราบว่า หนังสือเล่มที่บันทึกความดีของคุณย่าคงจะหนักน่าดู มันทำให้ฉันมีความสุขมากๆ"
คนต่อไปในครอบครัวของเธอที่เข้ารับอิสลามคือ คุณพ่อของเธอนั่นเอง คุณพ่อที่ครั้งหนึ่งเกือบจะฆ่าเธอไปแล้ว การเข้ารับอิสลามของพ่อเธอ ทำให้นึกถึงเรื่องราวการเข้ารับอิสลามของท่านอุมัร เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ ท่านอุมัรคือเศาะหาบะฮฺของท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ซึ่งเคยเป็นคนที่ตามจองเวรเหล่ามุสลิมยุคแรกๆก่อนที่ท่านจะเข้ารับอิสลาม วันหนึ่งท่านทราบข่าวการเข้ารับอิสลามของน้องสาวท่าน ท่านออกไปโดยในมือมีดาบอยู่ มุ่งหน้าไปเพื่อจะฆ่าน้องสาวท่าน แต่เมื่อท่านได้ฟังกุรอ่านจากการอ่านของน้องสาวท่าน ท่านรับรู้ถึงความจริงและได้ตัดสินใจไปยังท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม เพื่อเข้ารับอิสลามในทันที
สองปีหลังจากที่เธอเข้ารับอิสลาม แม่ของเธอได้โทรหาเธอ แม่ของเธอกล่าวว่าเธอประทับใจในความศรัทธาของอิสลามและหวังว่าเธอ (อามีนะ) จะรักษามันไว้อย่างนั้นตลอดไป สองปีให้หลัง แม่ของเธอโทรมาอีกครั้งเพื่อถามว่า ถ้าคนๆนึงต้องการเปลี่ยนเป็นมุสลิม ต้องทำอย่างไรบ้าง? อามีนะฮตอบไปว่า คนๆนั้นจะต้องสาบานว่าไม่มีพระเจ้าอื่นได้นอกจากอัลลอฮฺและมูฮัมหมัดคือศาสนทูตของพระองค์ แม่ของเธอกล่าวว่า “เรื่องนี้แม้แต่คนโง่ก็ทราบ แต่ฉันต้องการถามว่ามันจะต้องทำอะไรอีกบ้าง?“ เธอตอบแม่ของเธอไปว่า ถ้านั่นเป็นสิ่งที่คนๆนั้นเชื่อและศรัทธา คนๆนั้นได้เป็นมุสลิมแล้ว ถึงตรงนี้แม่ของเธอกล่าวว่า “งั้นเหรอ? งั้นก็อย่าเพิ่งบอกพ่อของเธอหล่ะ“ ตกลงแม่ของเธอไม่ทราบเลยว่า ณ ตอนนั้น สามีของเธอ (พ่อเลี้ยงของอามีนะฮ) ได้คุยกับอามีนะฮในทำนองเดียวกันประมาณสองสามอาทิตย์ก่อนหน้านั้นแล้ว ตกลงสองคนนี้เป็นมุสลิมกันอย่างลับๆมากว่าปีโดยที่ต่างคนต่างเก็บเป็นความลับ
หกปีหลังจากได้หย่าจากสามีของเธอ อดีตสามีของเธอก็เข้ารับอิสลาม เขาได้กล่าวว่า ได้ติดตามดูเธอมาตลอดหกปี และต้องการให้ลูกสาวเขามีศาสนาเดียวกับเธอ เขาได้มาหาเธอและได้กล่าวคำขอโทษและขอให้เธอให้อภัยเขา เขาเป็นคนดีและสุภาพมากซึ่งอามีนะฮเองนั้นได้ให้อภัยเขามานานแล้วในเรื่องนั้น
บางทีสิ่งตอบแทนจากพระเจ้าที่ดีที่สุดเพิ่งตามมาเป็นอันดับสุดท้ายต่างหาก นั่นคือหลังจากที่เธอได้แต่งงานกับชายคนหนึ่ง ในขณะที่หมอเคยบอกเธอไปแล้วว่าเธอจะไม่มีโอกาสตั้งครรภ์ได้อีก แต่อัลลอฮฺได้ตอบแทนเธอด้วยการตั้งครรภ์อีกครั้งและเธอได้บุตรชาย ถ้าอัลลอฮฺต้องการตอบแทนใครสักคน ใครจะห้ามได้? มันเป็นพรจากอัลลอฮฺอันมหัศจรรย์มาก เธอตัดสินใจตั้งชื่อบุตรของเธอว่า บารอกะฮฺ
“มันไม่ได้ใช้เวลานานเลยที่ทำให้ฉันรับรู้ถึงพรอันประเสริธจากอัลลอฮฺ ฉันได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของการแบ่งปันความจริงเกี่ยวกับอิสลามกับคนรอบข้าง มันไม่สำคัญเลยที่คนทั่วไปไม่ว่าจะเป็นมุสลิมหรือไม่ จะเห็นด้วยหรือเข้าใจฉัน สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับฉันคือการยอมรับจากอัลลอฮฺเท่านั้น ถึงตอนนี้ฉันพบว่าหลายต่อหลายคนรักฉันโดยที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยเหตุผลมากมาย ฉันมีความสุขมากเพราะฉันจำได้ว่าถ้าอัลลอฮฺรักใคร พระองค์จะทำให้คนอื่นๆ รักคนๆ นั้นด้วย ฉันไม่ได้มีค่ามากมายจนควรค่าแก่ความรักเหล่านั้นหรอก แต่ฉันคิดว่ามันเป็นสิ่งตอบแทนที่มาจากอัลลอฮฺต่างหาก อัลลอฮฺผู้ยิ่งใหญ่"
ความเสียสละที่ อามีนะฮ์ อัซซิลมี ได้ทำไปเพื่ออัลลอฮฺนั้นยิ่งใหญ่มาก อัลลอฮฺจึงตอบแทนด้วยความเมตตาและรางวัลอันยิ่งใหญ่ ครอบครัวของเธอได้ทิ้งเธอไปหลังจากที่เธอเข้ารับอิสลาม แต่ด้วยความเมตตาจากอัลลอฮฺ ในที่สุดสมาชิกในครอบครัวเธอส่วนใหญ่เข้ารับอิสลามเหมือนกัน เธอเสียเพื่อนๆไปหลังจากเข้ารับอิสลาม ในขณะที่ตอนนี้เธอเป็นที่รักของหลายต่อหลายคน เธอกล่าวว่า “เพื่อนๆที่รักเธอไม่ทราบว่ามาจากไหนมากมาย“ อัลลอฮฺให้ความเมตตาเธอมากมายจนไม่ว่าเธอจะไปไหนทุกๆคนรับรู้ถึงความสวยงามของอิสลามและยอมรับถึงความจริงในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นคนต่างศาสนิกและมุสลิมเอง ต่างมาหาเธอเพื่อขอคำปรึกษาและคำแนะนำ
เธอสูญเสียงานไปหลังจากเข้ารับอิสลาม แต่ตอนนี้เธอเป็นผู้อำนวยการของ International Union of Muslim Women เธอมีโอกาสให้บรรยายธรรมในหลายต่อหลายแห่งทั่วทั้งประเทศและเธอยังคงเป็นที่ต้องการสูง องค์กรของเธอประสพความสำเร็จในการผลักดันให้มีแสตมป์วันอีด (Eid Stamp) และได้รับการยอมรับจาก United States Postal Service ถึงแม้จะต้องใช้เวลาในการผลักดันหลายปี ในขณะนี้เธอกำลังผลักดันให้วันอีดของอิสลามเป็นหนึ่งในวันหยุดแห่งชาติ
เธอมีความเชื่อมั่นต่ออัลลอฮฺเป็นอย่างสูง เชื่อมั่นต่อความเมตตาของพระองค์ เธอไม่เคยสูญเสียความศรัทธาในตัวพระองค์เลย ครั้งหนึ่งเธอได้รับผลการตรวจสุขภาพว่าเธอมีมะเร็ง คุณหมอบอกเธอว่าเธออาจจะอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งปี แต่ความศรัทธาของเธอที่มีต่ออัลลอฮฺนั้นไม่ได้ลดน้อยลงเลย “เราทุกคนยังงัยก็ต้องตาย ฉันเชื่อมั่นว่าความเจ็บปวดของฉันเป็นหนึ่งในความเมตตาที่อัลลอฮฺมอบให้“ มีอุทาหรณ์อันยิ่งใหญ่ที่แสดงให้เห็นถึงความรักของคนๆนึงที่มีต่ออัลลอฮฺอย่างมายมาย เธอได้กล่าวถึงเพื่อนคนหนึ่งที่มีชื่อว่า การิม อัลมูซาวี ผู้ซึ่งในที่สุดได้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งในวัยเพียง 20 “ก่อนหน้าที่เขาจะเสียชีวิตได้ไม่นาน เขาได้บอกเธอว่า อัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ซึ่งมีความเมตตา ชายคนนี้ได้รับความเจ็บปวดจากโรคมะเร็งอย่างมาก แต่เขายังได้รับความรักที่ทอแสงจากอัลลอฮฺ เขาได้บอกว่า อัลลอฮฺคงมีความตั้งใจให้ฉันได้เข้าสวรรค์ด้วยสมุดบันทึกใสสะอาด การเสียชีวิตของเขาสอนให้ฉันได้คิด เขาสอนฉันถึงความรักและความเมตตาจากอัลลอฮฺ“ ขอความสรรเสริญจงมีแด่อัลลอฮฺ ในขณะนี้เธอยังคงมีชีวิตอยู่ด้วยสุขภาพที่แข็งแรง เธอคิดว่าการมีมะเร็งในตัวเธอเป็นความเมตตาจากอัลลอฮฺอย่างสูงสุดอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน
เรื่องราวความศรัทธาและบทลงโทษที่ อามีนะฮ์ อัซซิลมี ได้รับนั้นเป็นเรื่องราวที่ทำให้เรียนรู้ถึงบททดสอบและความสำเร็จที่ตามมาภายหลัง มันเป็นเรื่องราวของความสำเร็จที่มาจากความศรัทธาของเธอต่ออัลลอฮฺ เป็นเรื่องราวที่ให้แรงบันดาลใจต่อพวกเราเป็นอย่างมาก เป็นเรื่องราวของความเชื่อมั่นและไว้ใจต่ออัลลอฮฺ เป็นเรื่องราวของความรักและเมตตาจากอัลลอฮฺ และเป็นเรื่องราวที่แสดงให้เห็นถึงความจริงของสัญญาจากอัลลอฮฺ
“จริงอยู่ อัลลอฮฺได้ทดสอบฉันอย่างที่พระองค์ได้สัญญาไว้ แต่สิ่งตอบแทนจากพระองค์ที่ฉันได้รับมันมากเกินกว่าคนๆนึงจะคาดหวังไว้“
ขอให้อัลลอฮฺแสดงถึงความรักความเมตตาและความกรุณาต่อมุสลิมะฮ์ท่านนี้ต่อไป ขอให้อัลลอฮฺตอบแทนเธอให้เธอมีชีวิตที่ยืนยาวและสามารถสร้างผลงานทางศาสนาอิสลามต่อไป ขอให้อัลลอฮฺให้ประโยชน์แก่คนทั่วๆไปจากเรื่องราวของเธอ และขอให้ชี้นำจิตใจคนเหล่านั้นได้รับทราบถึงความเป็นจริง ความรัก และความเมตตาของพระองค์.



เว็บไซต์ต้นฉบับภาษาอังกฤษ :
http://www.famousmuslims.com/Aminah%20Assilmi.htm