Thursday, September 10, 2009

การถือศิลอดในทัศนะทางการแพทย์


รอมฏอนกะรีม : การถือศิลอดในทัศนะทางการแพทย์
อัลลอฮฺ (ศุบหฯ) ได้ทรงไว้ในซูเราะฮฺ อัลบากอระฮ อายะฮที่ 183 มีใจความว่า “ โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย การถือศิลอดได้ถูกบัญญัติแก่พวกเจ้า ดังเช่นได้ถูกบัญญัติแก่ประชาชาติก่อนเจ้า เพื่อว่าพวกเขจ้าจะได้ยำเกรง ” (2/183)

การถือศลอดในเดือนรอมฏอน เป็นอิบาดะฮเฉพาะอย่างหนึ่ง ได้ถูกบัญญัติลงมาในวันที่ 2 เดือนชะอฺบานปีที่ 2 แห่งฮิจเราะฮฺศักราช เป็นอิบาดะฮ ที่เน้นการงานทางด้านจิตวิญญาณเป็นสำคัญ คือให้คนรู้จักความอดทน อดกลั้นหรือละเว้น จากการกิน การดื่ม การร่วมรสระหว่างสามีภรรยา รวมถึงการกระทำในสิ่งที่ไร้สาระหรือขัดต่อคุณธรรม เริ่มตั้งแต่รุ่งอรุณจนถึงตะวันลับขอบฟ้า ด้วยเจตนา (นียัต) เพื่อพระองค์อัลลอฮฺ (ศุบหฯ) เท่านั้น

“ การถือศิลอด ” มิใช่ “ ความอดอยาก ” เพราะการถือศิลอดมีจุดม่งหมายและหลักปฏิบัติอย่างชัดเจน มุอฺมิน ผู้ศรัทธา เชื่อว่าจะต้องมีฮิกมะฮฺ (เคล็ดลับ) อย่างแน่นอน อย่างเช่น สำนักการแพทย์ธรรมชาติบำบัดที่เน้นการบำบัดรักษาโรคด้วยวิธีการอดอาหารเป็นหลัก ในโอกาสนี้จะขออธิบายถึงหลักการบางอย่างที่เกี่ยวกับการถือศิลอดว่า มีความสอดคล้อง หรือขัดต่อหลักวิชาการแพทย์อย่างไรหรือไม่ เป็นพอสังเขป ดังนี้

1. ระยะเวลาการถือศิลอด
การถือศิลอดรอมฏอน หรือ ถือศิลนัฟสูก็ดี จะใช้ระยะเวลาในการละเว้นจากสิ่งต้องห้าม โดยเฉลี่ยประมาณ 13 ชั้วโมงต่อวัน ซึ่งโดยปกติเราทุกคน มีการอดอาหารอยู่แล้ว ครั้งละ10-12 ชั่วโมง คือหลังอาหารเย็น (ค่ำ) จนถึงการกินหารในวันเช้าใหม่ และในการตรวจวินิจฉัยโรคบาอย่าง เช่นการเจาะเลือดผู้ป่วยก็ต้องอดอาหารเป็นระยะเวลา 10-12 ชั่วโมง เช่นกัน ดังนั้นจะเห็นว่าระยะยเวลาของการถือศิลอดไม่ขัดต่อหลักการตามธรรมชาติ (ซุนนะตุลลอฮฺ) หรือทางการแพทย์แต่อย่างใด แต่จะมีความแตกต่างกันอยู่ที่ช่วงเวลากลางวันหรือกลางคืน ซึ่งการถือศิลอดยึดเอาช่วงเวลากลางวันเป็นหลัก ก็เพราะมีจุดประสงค์ที่มากกว่าการอดอาหารทั่วไปนั้นอง

2. การเปลี่ยนแลงในร่างกาย
การถือศิลอดจะทำให้ร่างกายต้องขาดพลังงานจากสารอาหารและต้องสูญเสียน้ำจากการขับถ่ายออกจากร่างกาย การสูญเสียน้ำมากกว่า 2 % ของน้ำหนักตัวจะทำให้ร็สึกกระหายน้ำ และเมื่อระดับในน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดและเซลล์ลดลง ก็จะทำให้รู้สึกหิว ซึ้งจะเกิดอาการหลังจากการอดไปแล้วประมาน 6 - 12 ชั้วโมง ซึ่งเรียกนี้ว่าระยะหิวโหย
ระดับน้ำตาลกลลูโคสและน้ำลดที่ลดลงจะกระตุ้นเซลล์ประสาท (นิวรอน) บริเวณฮัยโปทาลามัส (Hypothalamus) ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นศูนย์ควบคุมความหิว , ศูนย์อิ่มและศูนย์กระหายน้ำ สำหรับคนที่มีร่างกายปกติ มีเจตนา (นียัต) อย่างแน่วแน่และมีความเชื่อมั่นต่อบทบัญญัติของอัลลอฮฺ (ศุบหฯ) แน่นอนจะไม่ทำให้เขาถึงขั้นมีอาการหน้ามืดหรือหมดสติไป เพราะระบบต่างๆ ในร่างกายจะช่วยประสานงานกันดดยอัตโนมัตเพื่อที่จะรักษาสมดุลหเกิดขึ้นในร่างกาย ในระยะแรกร่างกายจะเริ่มมีการสลายพลังงานในรูปของกลัยโคเจน ที่เก็บสะสมไว้ในตับและกล้ามเนื้อ โดยมีฮอร์โมนกลูกากอนจากตับอ่อนมาช่วยในปฏิกิริยาเคมีนี้จะได้น้ำตาลกลูโคสเพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานต่อไป ส่วนต่อมหมวกไต (Adrenal Gland) ในส่วนใน (Medulla) ก็จะถูกกระตุ้นให้หลั่งเอพิเนฟริน (Epinephrine) เพิ่มมากขึ้น และมีผลทำให้เซลล์อื่นๆใช้พลังงานลดน้อยลงด้วย

ถ้าพลังงานทีได้รับจากการสลายกลัยโคเจนไม่เพียงพอ ก็จะสลายพลังงานสำรองในรูปของไขมัน ซึ่งกรดไขมันอิสนะออกมาสู่กระแสเลือด และจะถูกเปลี่ยนไปเป็นกลูโคสเพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานต่อไป ส่วนการรักษาดุลน้ำและเกลือแร่ก็เป็นหน้าที่ของ Hypothalamus เช่นกัน ที่จะกระตุ้นให้ต่อมใต้สมองได้หลั่งฮอรโมน Vesoperssine หรือ ADH จะมีผลทำให้ไตมีการดูดซึมน้ำกลับมาใช้เพิ่มมากขึ้นจึงทำให้ปัสสาวะน้อยลงและมีสีเข้มมากกว่า

ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าอัลลอฮฺ (ศุบหฯ) พระองค์ทรงรอบรู้ยิ่งเกี่ยวกับการทำงานของระบบต่างๆในร่างกายของมนุษย์และพระองค์ก็ได้กำชับให้เราศึกษาเกี่ยวกับตัวของเราเอง ดังคำตรัสของอัลลอฮฺ (ศุบหฯ) ความว่า : "และในตัวของพวกเจ้า พวกเจ้าไม่เห็นอะไรดอกหรือ ?" (อัซ-ซารียาต 51 : 52)

3. การละศิลอด
ท่านศาสดามูฮัมหมัด ได้แนะนำวิธีการละศิลอดไว้อย่างไร ? เมื่อเวลาละศิลอด อิสลามให้เรารีบละศิลอด ก่อนที่จะดำรงการละหมาด และแนะนำให้ละศิลอดด้วยลูกอินทผลัมหรือด้วยน้ำ มีรายงานจากท่านอะนัส อิบน มาลิก (รอฏ ฯ) กล่าวว่า “ ปรากฏว่าท่านนบี ละศิลอดด้วยอินทผลัมที่สุกงอมก่อนที่จะไปละหมาด ถ้าไม่มีอินทผลัมที่สุกงอมก็จะแก้ด้วยอินทผลัมที่แห้ง ถ้าหากไม่มีอินทผลัมที่แห้งก็จะกระจิบน้ำหลายกระจิบ ” (บันทึกโดย อะหมัด , อะบู ดาวูด , อิบนุคุไซมะฮ และอัตตัรมีซีย์)

ในลูกอินทผลัมมีอะไร หรือ ? จากการวิจัยทางด้านโภชนาการ ทำให้เราทราบว่า ในลูกอินทผลัมที่สุกงอมนั้นประกอบด้วย น้ำตาลฟรุกโตส, น้ำ ,วิตามิน และแร่ธาตุ โดยเฉพาะน้ำตาลฟรุกโตสจักเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานแก่รร่างกายชนิดหนึ่ง มีการดูดซึมบริเวณลำไส้เล็ก โดยวิธี Facilitate diffusion ซึ่งไม่ต้องใช้พลังงาน ส่วนน้ำตาลกลูโคสและกาแลกโตสนั้นจะดูดซึมแบบ Secondary Active ซึ่งต้องอาศัยทั้งตัวพาและพลังงาน ดังนั้นในสภาวะที่ร่างกายกำลังอ่อนเพลีย จากการขาดพลังงานและน้ำ ลูกอินทผลัมน่าจะเป็นผลไม้ที่ดีชนิดหนึ่ง สำหรับผู้ที่ถือศิลอด ส่วนผลไม้ชนิดอื่นๆที่มีรสหวานก็สามารถทานได้ (แต่ไม่ใช่ซุนนะฮ) ในทางตรงกันข้าม ถ้าละศิลอดด้วยน้ำเย็น หรืออาหารหนัก และอิ่มมากจรเกินไปก่อนจะไปละหมาดแทนที่เราจะได้พลังงานกลับคืนมาอย่างเร็ว เราต้องกลับเสียพลังงานไป เนื่องจากเลือดจะถูกส่งไปยังกระเพาะอาหาร และลำไส้เพิ่มมากขึ้น ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองย้อยลง (สมองต้องการนำตาลกลูโคสประมาณ 40 % จากทั้งหมด) จึงทำให้มีอาการมึนงง, เวียนศรีษะ ,อ่อนเพลีย,แน่นหน้าอกและง่วงซึมได้ ดังนั้นในขณะที่แก้ศิลอด ท่านนบี ได้กล่าว คำดุอาว่า


ذهب الظمأ وأبتلت العروق وثبت الأجر إن شاء الله

ความว่า “ ความกระหายน้ำได้สูญเสีย เส้นโลหิตได้ชุมชื่นและจะดั้รบการตอบแทนอย่างแน่นอน อินซาอัลลออฺ ” (อะบูดาวูด , อัลบัยฮากีย์ และอัลฮากิม)

4. จุดประสงค์ของการถือศิลอด
มนุษย์อาจจะมีฐานะที่สูงส่ง หรือต่ำต้อยกว่าสัตว์เดรัจฉาก็ได้ ขึ้นอยู่กับความศรัทธาและอิบาดะฮของเขาต่ออัลลอฮฺ (ศุบหฯ) ประกอบกับความสามารถในการใช้สติปัญญาละจิตสำนึก เพื่อเอาชนะอารมณ์ใฝ่ต่ำหรือกิเลสได้ จะต้องผ่านการฝึกอบรมเป็นการพิเศษอย่างต่อเนื่องกับปัจจัยที่มีความสำคัญสำหรับชีวิตโดยมรเป้าหมายที่ชัดเจน เช่นการถือศิลอดรอมฏอน

ทำไมเราจะต้องอดน้ำอดอาหารทั้งๆที่รู้ว่าเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต โดนปกติแล้ว เป็นสิ่งที่ได้อนุมัติ (ฮาลาล) สำหรับมนุษย์ รวมถึงการหลับนอนร่วมรสระหว่างสามีภรรยาในเวลากลางวันต้องกลับมาเป็นสิ่งที่ต้องห้ามในเดือนรอมฏอน
คำตอบก็คือ เพื่อพิสูจน์ความเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง เพื่อแสดงให้เห็นว่า ความรู้สึกหิวโหยหรืออารมณ์ ใฝ่ต่ำ เขาสามารถควบคุมได้ ซึ่งต่างกับสัตว์เดรฉานที่พร้อมจะสนองตอบอารมณ์อยากใคร่ของมันได้ทุกเมื่อ ดังนั้นเมื่อเดอนรอมฏอนสิ้นสุดแล้วจะมีการเฉลิมฉลองความสำเร็จที่เรียกว่าอิย์ดุลฏรีย์ (การกลับสู่ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง)
คือการมีใจที่บริสุทธิ์ เข้มแข็ง หลุดพ้นจากการครอกงำของของฮาวานัฟสูหรือชัยฏอนนั่นเอง

ดังนั้นการดำรงชีวิตของมุอฺมินทุกคนหลังจากรอมฏอนแล้ว จะเปรียบเสมือนชีวิตของคนที่ในสภาวะการถือศิลอดตลอดไป เขาจะต้องอดกลั่น ละเว้นจากการกระทำในสิ่งที่เป็นฮารอม (ทุจริต , คอรัปชั่น , คดโกง ,รับสินบน,รับส่วย,กินดอกเบี้ย เป็นต้น) และต้องงหากไกลการกระทำซีนา ได้อย่างง่ายดายด้วยความภาคภูมิใจ เพราะเขาได้บรรลุมรรคผลถึงขึ้น อัล มุตตากีน (ผู้ยำเกรง , ผู้สำรวม) นั้นเอง ซึ่งอัลลออฮฺ (ศุบหฯ) ได้ให้คำมั่นสัญญาว่า “ แท้จริงอัลลอฮฺจะทรงรับงานของผู้ตักวาเท่านั้น ” (อัลมาอีดะฮ 5 :27)

5. บทสรุป
จากคำอธิบายโดยย่อๆข้างต้น พอจะสรุปได้ว่าแท้จริงการถือศิลออดนั้น ไม่ขัดต่อหลักกการแพทย์แต่อย่างใด เพราะคุณสมบัติบางประการของผู้ที่ถือศิลอดนั้นต้องป็ฯมุอมินทีมีสุ๘ภาพดี และมิใช่ผู้ที่มีอุปสรรบางอย่าง (ดูรายละเอียดในวิชาฟิกฮฺ) ส่วนบุคคลที่มีอุปสรรจริงๆ จะได้รับการผ่อนผัน หรือยกเว้นจากการถือศิลอดโดยบุคคลกลุ่มหนึ่งจะต้องถือศิลอดใช้ และกลุ่มหนึ่ง ต้องจ่ายฟิดยะฮแทน นั้นก็เป็นเพราะความเมตตา และทรงรอบรู้ของอัลลลอฮฺ (ซ.บ.) เกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมี กลไกลการทำงานของอวัยวะต่างๆในร่างกายมนุษย์นั้นเอง แน่นอนมิใช่ความประสงค์ของอัลลลอฮฺหากว่าอิบาดะฮ์นั้นจะนำไปสู่ความสูญเสีย (ทำให้เกิดโรค) แก่บ่าวของพระองค์ มีนักวิชาการอเมริกาคนหนึ่งชื่อนายแพทย์ Allan Cott เขาได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า “ Way Fast ? ” (ทำไม่ต้องถือศิลอด) ซึ่งเป็นผลจากกการวิจัยของเขาจากหลายๆประเทศ เขาได้สรุปถึงเคล็ดลับของการถือศิลอดไว้ 10 ข้อ ดังนี้


1. to feel better physically and mentally. = ทำให้รู้สึกว่ามีสุขภาพและจิตใจที่ดีขึ้น
2. to look and feel younger. = ทำให้มองเห็นและรู้สึกอ่อนเยาว์ขึ้น
3. to clean out the body. = ทำให้ร่างกายสะอาดสะอ้าน
4. to lower blood pressure and cholesterol levels = ช่วยลดความดันโลหิตสูง และระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
5. to get more out of sex = ช่วยลดความรู้สึกอารมณ์ใคร่ (เซ็กส์)
6.to let the body health itself = ช่วยให้ร่างกายบำบัดตนเอง
7. to relieve the tension = ช่วยลดความตรึงเครียด
8. to sharp the sense = ช่วยให้สติปัญญาเฉียบแหลม
9. to again control of ourself = ทำให้สามารถควบคุมตนเองได้
10. to slow the aging process = ช่วยชะลอความชรา
นอกจากฮิกมะฮดังกล่าวแล้ว ท่านนบีมุฮัมหมัด (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) ยังกล่าวไว้ มีใจความ “ แด่ผู้ถือศิลอดนั้น เขาจะได้รับความสุข 2 ประการคือ ความสุขเมื่อถึงยามละศิอด และจะมีความสุขเมื่อได้พบกับผู้อภิบาลของเขา (ในวันกียามัต) ” พร้อมกับรางวัลที่สูงสุดคือสวนสวรรค์ ซึ่งเขาจะเดินเข้าทางประตู อัร-ร็อยยาน ที่ได้สร้างเฉพาะแก่บรรดาผู้ที่ถือศิลอดด้วยความสุจริตใจต่ออัลลอฮฺ (ศุบหฯ) เท่านั้น ...

-----------------------------------
เรียบเรียงโดย นพ.ดาวูด อัช-ชีฟาอฺ "อิกเราะอฺออนไลน์" คัดลอกจากสารอัช-ชีฟาอฺ มูลนิธิสงเคราะห์เด็กกำพร้าและการกุศล ยะลา

พิมพ์จาก : http://www.muslimthai.com/main/1428/content.php?category=36&id=271
วันที่ : 10 กันยายน 52 14:51:53
มุสลิมไทย http://www.muslimthai.com