Friday, December 11, 2009

ดุอาอ์และซิกิรฺที่ใช้อ่านเพื่อป้องกันจากชัยฏอน


ดุอาอ์และซิกิรฺที่ใช้อ่านเพื่อป้องกันจากชัยฏอน
﴿ ما يعتصم به العبد من الشيطان من الأدعية والأذﻛﺎر ﴾
[ ไทย – Thai – [ تايلاندي
มุหัมมัด อิบรอฮีม อัตตุวัยญิรีย์
แปลโดย : ซุฟอัม อุษมาน
ผู้ตรวจทาน : ฟัยซอล อับดุลฮาดี
ที่มา : มุคตะศ็อร อัลฟิกฮิล อิสลามีย์
2009 - 1430
﴿ ما يعتصم به العبد من الشيطان من الأدعية والأذﻛﺎر ﴾
« باللغة اﻛﺤايلاندية »
ﻣﺤمد بن إبراهيم اﻛﺤوﻳﺠري
ترﺟﻤة: صاﻓﻲ عثمان
مراجعة: فيصل عبداﻟﻬادي
اﻟﻤصدر: كتاب ﻣﺨتﺼﺮ الفقه الإسلاﻣﻲ
2009 - 1430
1
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ
ดุอาอ์และซิกิรฺที่ใช้อ่านเพื่อป้องกันจากชัยฏอน
ประเภทของโรคภัยไข้เจ็บและการรักษา
โรคภัยไข้เจ็บมีสองประเภท คือ โรคทางใจ และโรคทางกาย
โรคทางใจนั้นมีสองชนิด คือ
1. โรคที่ว่าด้วย ชุบฮะฮฺ (ความเคลือบแคลงสงสัย) เช่นที่อัลลอฮฺได้ตรัสถึงพวกมุนาฟิกว่า:
_ ~ } { z y x w v u t sI
[ اكقرة/ ١٠ ] H`
ความว่า "ในหัวใจของพวกเขานั้นมีโรคอยู่ แล้วอัลลอฮฺก็ทรงเพิ่มให้
พวกเขาเป็นโรค และสำหรับพวกเขานั้นคือการลงโทษอันแสนเจ็บปวด
เนื่องด้วยเหตุที่พวกเขาโป้ปดมดเท็จ"
(อัล-บะเกาะเราะฮฺ: 10)
2. โรคที่ว่าด้วย ชะฮฺวะฮฺ (อารมณ์ใฝ่ต่ำ) เช่นที่อัลลอฮฺได้ตรัสต่อเหล่ามารดาแห่งศรัทธา
ชนว่า
[ الأحزاب/ ٣٢ ] Ha ` _ ^ ] \ [ ZI
วามว่า "ดังนั้น พวกเธอจงอย่าทำเสียงอ่อน เพราะมันจะเป็นเหตุให้คน
ที่มีโรคในใจเกิดความใคร่อยาก"
(อัล-อะหฺซาบ: 32)
ส่วนโรคทางกายนั้นก็คือ การเจ็บไข้ได้ป่วยทั่วๆ ไป
การเยียวยาจิตใจและการรักษาโรคทางใจนั้นจะรู้ได้ผ่านการสอนของศาสนทูตทั้งหลาย
เท่านั้น แท้จริงแล้วไม่มีความดีใดๆ ที่จะเกิดขึ้นกับจิตใจเว้นแต่เมื่อมันรู้จักพระเจ้าและผู้สร้างมัน
ด้วยพระนามและคุณลักษณะต่างๆ ของพระองค์ ด้วยกิริยาและบทบัญญัติต่างๆ ของพระองค์ ซึ่ง
เป็นปัจจัยที่นำไปสู่ความโปรดปรานและความรักของพระองค์ และเป็นเหตุให้ห่างไกลจากสิ่ง
ต้องห้ามและความโกรธกริ้วของพระองค์
ส่วนการรักษาโรคทางกายนั้นมีสองชนิด คือ ชนิดที่หนึ่งเป็นสิ่งที่อัลลอฮฺได้สอนให้สรรพ
สัตว์ทั้งหลายรู้ได้ด้วยสันดานเดิม เช่น การรักษาความหิวกระหายและความเหนื่อยล้า ซึ่งสามารถ
ที่จะทำให้หายด้วยสิ่งตรงข้าม (นั่นคือการกิน การดื่ม และพักผ่อน ฯลฯ เหล่านี้สรรพสัตว์ทั้งหลาย
ต่างก็รู้ได้เองโดยสันดาน) อีกชนิดหนึ่งนั้นต้องอาศัยการคิดและสังเกต การรักษานี้ต้องใช้ยาจาก
ธรรมชาติหรือจากพระผู้เป็นเจ้า หรือใช้ทั้งสองอย่างพร้อมๆ กัน
2
โรคทางใจ
โรคทางใจ คือ อาการที่ผิดปกติจากความผ่องใสและความสมดุลของจิตใจ จิตใจที่ผ่องใส
คือหัวใจที่รู้จักสัจธรรม รักความจริง และให้ความสำคัญกับมันเหนือสิ่งอื่นใด เพราะฉะนั้นโรคทาง
ใจนั้นจึงอาจจะเกี่ยวข้องกับความสงสัยในสัจธรรม หรือให้ความสำคัญกับสิ่งอื่นมากกว่ามัน เช่น
โรคทางใจของพวกมุนาฟิกผู้กลับกลอก ซึ่งมีทั้ง ชุบฮะฮฺ และ ชะฮฺวะฮฺ ส่วนโรคทางใจของผู้ที่ทำ
บาปนั้นคือโรคแห่ง ชะฮฺวะฮฺ นอกจากนี้ยังมีโรคทางใจอื่นๆ อีกเช่น การโอ้อวด การหยิ่งยะโส การ
หลงตัวเอง การอิจฉาริษยา การทะนงตน การผยอง ชอบตำแหน่ง และทำตัวสูงส่งในแผ่นดิน โรค
เหล่านี้ล้วนกำเนิดมาจากโรคหลักสองอย่าง คือ ชุบฮะฮฺ และ ชะฮฺวะฮฺ ดังที่กล่าวมาแล้วนั่นเอง –
ขออัลลอฮฺประทานความปลอดภัยแก่เราด้วยเทอญ
การป้องกันความชั่วร้ายของชัยฏอนมนุษย์และญิน
1. อัลลอฮฺได้สั่งให้เราพยายามสนทนาปราศรัยและทำดีกับศัตรูที่เป็นมนุษย์ด้วยกัน เพื่อ
ปรับให้นิสัยอันดีงามดั้งเดิมของเขากลับสู่ความรักใคร่และมารยาทที่ดี พระองค์ตรัสว่า
g f e d c b a ` _ ~ } { zI
v u t s r q p o n m lk j i h
[٣٥ - فصلت/ ٣٤ ] Hx w
ความว่า "และย่อมไม่เท่ากันระหว่างความดีและความชั่ว จงต้าน(ความ
ชั่วร้ายของคู่กรณี)ด้วย(วิธีการและแนวทาง)ที่ดีที่สุด เมื่อนั้น คนที่มี
ความเป็นศัตรูกันะหว่างเจ้ากับเขาก็จะกลับมาเป็นดังมิตรสหายผู้
ใกล้ชิด และไม่มีใครที่จะได้รับสิ่งนั้น เว้นแต่ผู้ที่อดทน และไม่มีใครที่
ได้รับสิ่งนั้น เว้นแต่เขาย่อมเป็นผู้ที่มีโชคอันยิ่งใหญ่"
(ฟุศศิลัต: 34-35)
2. อัลลอฮฺสั่งให้เราขอความคุ้มครองต่อพระองค์ให้เราพ้นจากศัตรูที่เป็นชัยฏอน ซึ่งไม่
ยอมรับกับเจรจาหรือทำดีด้วย ทว่านิสัยของมันนั้นคือการล่อลวงและเป็นศัตรูกับมนุษย์แต่เดิมอยู่
แล้ว พระองค์ตรัสว่า
H¦ ¥ ¤ £ ¢ ¡  ~ } { z yI
[ [فصلت/ ٣٦
ความว่า "และหากว่ามีการยุแหย่เจ้าจากชัยฏอนด้วยการยั่วยุใดๆ ก็จง
ขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺ แท้จริงพระองค์ทรงเป็นผู้ได้ยินและผู้รอบ
รู้ยิ่ง" (ฟุศศิลัต: 36)
3
มลาอิกะฮฺและชัยฏอนนั้นจะคอยวนเวียนเปลี่ยนเวรเข้ามายังหัวใจของมนุษย์ เหมือนการ
เปลี่ยนผันของกลางวันและกลางคืน มนุษย์บางคนอาจจะมีกลางคืนนานกว่ากลางวัน บางคน
กลางวันอาจจะนานกว่ากลางคืน บางคนอาจจะมีเวลาเป็นกลางคืนตลอด และบางคนก็อาจจะมี
ช่วงเวลาที่เป็นกลางวันตลอด (เป็นการเปรียบเทียบสภาพของหัวใจมนุษย์กับมลาอิกะฮฺและ
ชัยฏอน) มลาอิกะฮฺนั้นมีงานที่พวกเขาจะทำกับหัวใจมนุษย์ ชัยฏอนก็มีงานที่พวกมันจะทำกับ
หัวใจมนุษย์เช่นกัน และไม่มีสิ่งใดที่อัลลอฮฺได้สั่งใช้และมีบัญชา เว้นแต่ชัยฏอนจะต้องเข้ามา
ล่อลวงด้วยสองทางเสมอ คือ อาจจะเป็นด้วยการล่อลวงให้ทำอย่างเกินเลยและละเมิดขอบเขต
หรือล่อลวงให้ทำอย่างหย่อนยานและบกพร่อง
การเป็นศัตรูของชัยฏอนต่อลูกหลานอาดัม
มนุษย์และญินซึ่งเป็นมัคลูกที่ถูกใช้โดยอัลลอฮฺนั้น มีความพิเศษเหนือมัคลูกอื่นๆ อยู่สาม
ประการคือ มีสติปัญญา มีศาสนา และมีสิทธิในการตัดสินใจเลือก อิบลีสเป็นผู้แรกที่ใช้นิอฺมัตทั้ง
สามประการนี้ในทางที่ผิดด้วยการทรยศต่อคำสั่งแห่งพระผู้อภิบาลของมัน ทว่ายังหัวแข็งและดื้อ
ด้านที่จะอยู่ในสภาพนั้น ซ้ำยังได้ขอร้องให้พระองค์ไว้ชีวิตมันจนถึงวันกิยามะฮฺ เพื่อที่จะใช้นิอฺมัตนี้
ในการล่อลวงลูกหลานอาดัม และตกแต่งความผิดบาปให้ดูสวยงาม เพื่อชวนให้พวกเขาได้เข้านรก
ตามพวกมันไป
1. อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
k j i h g f e d c b a ` _I
[ فاطر/ ٦ ] Hm
ความว่า "แท้จริงชัยฏอนนั้นเป็นศัตรูกับพวกเจ้า ดังนั้น จงถือว่ามันเป็น
ศัตรู แท้จริงแล้วมันเรียกร้องพรรคพวกของมันเพื่อให้กลายเป็นชาว
นรก"
(ฟาฏิร: 6)
2. อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
[ يوسف/ ٥ ] HQ P O N M LI
ความว่า "แท้จริงชัยฏอนนั้นเป็นศัตรูที่ชัดเจนสำหรับมนุษย์"
(ยูซุฟ: 5)
3. จาก ญาบิรฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ
วะสัลลัม กล่าวว่า
إن عَرش إبليس ﻟﺒ اكحر فَيَبْعَثُ ﺳَﺮَايَاهُ فَيَفْتِنُونَ اجَّاسَ، »
ِ
ََََََِّْْْ
فأقْظَمُهُمْ عِنْدَهُ أَقْظَمُهُمْ فِتْنَةً
.«َ
4
ความว่า "แท้จริง บัลลังก์ของอิบลีสนั้นอยู่เหนือมหาสมุทร แล้วมันก็จะ
ส่งกองทัพของมันเพื่อล่อลวงมนุษย์ ตัวที่ร้ายกาจที่สุดในหมู่ลูกน้องที่
อยู่กับมันคือตัวที่ร้ายกาจที่สุดในการล่อลวง"
(บันทึกโดย มุสลิม: 2813)
ลักษณะการเป็นศัตรูของชัยฏอน
ลักษณะการแสดงออกถึงการเป็นศัตรูของชัยฏอนต่อมนุษย์นั้นมีหลากหลายรูปแบบ
บางครั้ง ด้วยการหลอกมนุษย์ และตกแต่งความชั่วร้ายและบาปให้ดูสวยงามแก่พวกเขา
แล้วมันก็ผละจากพวกเขาโดยไม่รับผิดชอบ
บางครั้ง ด้วยการหลอกให้มนุษย์มีความสับสนลังเลในการปฏิบัติอะมัล
บางครั้ง ด้วยการทำให้มนุษย์หลงผิด ให้สัญญาและความหวังอย่างโกหก และยุแหย่
ระหว่างพวกเขา
บางครั้ง ด้วยการชักชวนและนำพวกเขาสู่การทำบาปและสิ่งต้องห้ามทั้งหลาย
บางครั้ง มันจะนั่งขวางทางการทำดีทั้งหมด เพื่อห้ามมนุษย์ไม่ให้ทำดี คอยทำให้ท้อ คอย
ขัดขวาง และทำให้กลัว
บางครั้ง มันพยายามให้ทะเลาะกันระหว่างมนุษย์ ด้วยการโยนความเป็นศัตรูและความ
โกรธเข้าใส่ระหว่างพวกเขา
บางครั้ง ด้วยการปลุกความอิจฉาริษยาและคิดไม่ซื่อในหัวใจพวกเขา
บางครั้ง ด้วยการทำร้ายพวกเขาด้วยความชั่วร้ายและโรคต่างๆ และขัดขวางพวกเขาจาก
เส้นทางของอัลลอฮฺด้วยวิธีการเท่าที่พวกมันจะทำได้
บางครั้ง ด้วยการปัสสาวะใส่หูของมนุษย์ เพื่อให้พวกเขานอนถึงเช้า และเป่ามนตร์บนหัว
ของพวกเขาเพื่อไม่ให้พวกเขาตื่น
ดังนั้น ผู้ใดที่ฟังและเชื่อตามชัยฏอน และยอมรับตามมัน เขาก็จะเป็นพรรคพวกของมัน
และจะถูกเรียกชุมนุมในวันกิยามะฮฺพร้อมพวกมัน และผู้ใดที่เชื่อฟังพระผู้อภิบาลของเขาและต่อสู้
กับชัยฏอน พระองค์ก็จะปกป้องเขาจากมัน และจะทรงให้เขาได้เข้าสู่สวรรค์
1. อัลลอฮฺตรัสว่า
× Ö Õ Ô Ó Ò Ñ Ð Ï Î Í Ì Ë ÊI
[ اﻟﻤجادلة/ ١٩ ] HÛ Ú Ù Ø
ความว่า "ชัยฎอนได้เข้า ไปครอบงำพวกเขา มันทำให้พวกเขาลืมรำลึก
ถึงอัลลอฮฺ ชนเหล่านั้นคือบรรดาพรรคพวกของชัยฏอน พึงทราบเถิด
ว่า แท้จริงพรรคพวกของชัยฏอนนั้น พวกเขาเป็นผู้ขาดทุน"
(อัล-มุญาดะละฮฺ: 19)
2. อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
5
~ } { z y x w v u t sI
© ¨ § ¦ ¥ ¤ £ ¢ ¡ 
¶ μ ´ ³ ² ± ° ¯ ® ¬ « ª
[٦٥- الإﺳﺮاء/ ٦٣ ] HÀ ¿ ¾ ½ ¼ » º ¹ ¸
ความว่า "พระองค์ตรัส(แก่ชัยฏอน)ว่า “เจ้าจงไปให้พ้น! ดังนั้นผู้ใดใน
หมู่พวกเขา(หมู่มนุษย์)ที่ปฏิบัติตามเจ้า แท้จริงนรกคือการตอบแทน
ของพวกเจ้า(และพรรคพวกที่ตามเจ้า) เป็นการตอบแทนที่สมบูรณ์
และเจ้าจงยั่วยวนผู้ที่เจ้าสามารถทำให้เขาหลงในหมู่พวกเขาด้วยเสียง
ของเจ้า และชักชวนพวกเขาให้เห็นพ้องด้วยด้วยม้าของเจ้าและด้วย
เท้าของเจ้า และจงร่วมกับพวกเขาในทรัพย์สินและลูกหลาน(คือใช้มัน
ในทางที่ผิด) และจงให้สัญญาแก่พวกเขา (คำสั่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่อัล
ลอฮฺอนุมัติแก่ชัยฏอนเพื่อใช้ทดสอบมนุษย์) และชัยฏอนมิได้ให้สัญญา
ใดๆ แก่พวกเขา เว้นแต่เป็นการหลอกลวงเท่านั้น แท้จริงปวงบ่าวของ
ข้านั้น เจ้าไม่มีอำนาจใดๆ เหนือพวกเขา และพอเพียงแล้วที่พระ
เจ้าของเจ้าเป็นผู้คุ้มครอง(บรรดาบ่าวผู้ศรัทธาและพึ่งพาพระองค์)".
(อัล-อิสรออฺ: 63-65)
3. จาก สับเราะฮฺ อิบนุ อบู ฟากิฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านรอซูลุลอฮฺ
ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า
إن الشيْطَان قَعَدَ لابن آدَمَ بَأَطْرُقِهِ، فَقَعَدَ لَهُ بِطَرِيقِ الإسلاِم، فَقَالَ »
ِ
:ََّّْ
تسْلم وتذر دينَكَ ودينَ آبائكَ وآباء أنيكَ فَعَصَاهُ فَأَسْلَمَ
ِ
َ
.ََََُُُِِِِِ
عُمَّ قَعَدَ لَهُ بِطَرِيقِ الهِجْرَةِ فَقَالَ: تُهَاجِرُ وَتَدَعُ أَرْضَكَ وَسَمَاءَكَ، وَإغَّمَا
مَثل المهَاجر كمثل الفَرَسِ ﻓِﻲ الطِّوَلِ فَعَصَاهُ فَهَاجَرَ
ِ
ََ
.ُِ
عُمَّ قَعَدَ لَهُ بِطَرِيقِ اﻟﺠِهَادِ، فَقَالَ: تجاهِد فَهُو جُهد اجفس واﻟﻤالِ فَتُقَاتِلُ
َََََُُُِّْْ
فَقَالَ رَسُولُ الله « فَتُقْتَلُ فَتُنْكَحُ المَرْأَةُ، وَيُقْسَمُ المَالُ، فَعَصَاهُ فَجَاهَدَ
فَمَنْ فَعَلَ ذَلِكَ ﻛﺎَنَ حَقّاً ﻟَﺒَ الله عَزَّ وَجَلَّ أَنْ » : صﻠﻰ الله عليه وسلم
.«.. يُدْخِلَهُ اﻟﺠَنَّةَ
ความว่า "แท้จริง ชัยฏอนจะนั่งอยู่บนทางทั้งหลายของมนุษย์ มันจะนั่ง
อยู่บนเส้นทางแห่งอิสลาม แล้วมันก็จะกล่าวว่าแก่มนุษย์ 'เจ้าจะรับ
อิสลาม จะละทิ้งศาสนาของเจ้าและศาสนาของปู่ย่าตายายและ
บรรพบุรุษของเจ้าอย่างนั้นหรือ?' แต่มนุษย์ก็ไม่เชื่อฟังมัน สุดท้ายเขาก็
รับอิสลาม
6
จากนั้น มันก็นั่งอยู่บนเส้นทางแห่งการฮิจญ์เราะฮฺ(การอพยพเพื่อ
อิสลาม) มันจะกล่าวแก่มนุษย์ว่า 'เจ้าจะอพยพ จะละทิ้งแผ่นดินและ
ท้องฟ้าของบ้านเกิดอย่างนั้นหรือ ? แท้จริงคนอพยพนั้นเปรียบเหมือน
ม้าที่ถูกผูกไว้(คือไม่มีอิสระเหมือนตอนที่อยู่ ณ บ้านเกิดเมืองนอนของ
ตนเอง)' แต่มนุษย์ก็ไม่เชื่อฟังมัน สุดท้ายเขาก็อพยพไป
จากนั้น มันก็จะนั่งอยู่บนเส้นทางแห่งการญิฮาด มันจะกล่าวแก่มนุษย์
ว่า 'เจ้าจะญิฮาดอย่างนั้นหรือ ? มันหนักหนามากทั้งในเรื่องทรัพย์สิน
และชีวิต เจ้าสู้กับศัตรูแล้วเจ้าก็จะถูกฆ่าตาย ภรรยาของเจ้าก็จะ
แต่งงานใหม่ ทรัพย์สมบัติก็จะถูกแบ่ง' แต่มนุษย์ก็ไม่ฟังมัน สุดท้ายเขา
ออกไปญิฮาด"
ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า "ผู้ใดที่ปฏิบัติ
ได้ดังกล่าว ย่อมเป็นสิทธิที่อัลลอฮฺจะนำเขาเข้าสวรรค์"
(หะดีษ เศาะฮีหฺ บันทึกโดย อะหฺมัด 16054 ดู อัส-สิลสิละฮฺ อัศ-เศาะฮี
หะฮฺ 2979 และ อัน-นะสาอีย์ 3134 สำนวนรายงานนี้เป็นของท่าน)
เส้นทางของชัยฏอน
ทางที่มนุษย์ใช้ดำเนินชีวิตนั้นมีสี่ทางคือ ขวา ซ้าย หน้า และ หลัง ไม่ว่าเส้นทางใดที่มนุษย์
ใช้เดินเขาย่อมต้องพบว่ามีชัยฏอนคอยที่จะล่อลวงเขาทั้งนั้น
หากบ่าวได้ดำเนินชีวิตเพื่อทำการเชื่อฟังต่ออัลลอฮฺ เขาก็จะพบว่ามีชัยฏอนคอยทำให้ท้อ
ใจ คอยฉุดดึงให้ช้า และคอยขัดขวางเขา
หากบ่าวได้มุ่งสู่การทำบาป เขาก็จะพบว่ามีชัยฏอนคอยยุยงส่งเสริม คอยรับใช้ คอย
ช่วยเหลือ และคอยทำให้มันดูสวยงามน่าปฏิบัติ
อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
z y x w v u t s r q p o n mI
- الأعراف/ ١٦ ] He d c b a ` _ ~ } {
[١٧
ความว่า "มันกล่าวว่า ด้วยเหตุที่พระองค์ได้ทรงให้ข้าพระองค์ตกอยู่ใน
ความหลงผิด แน่นอนข้าพระองค์จะนั่งขวางกั้นพวกเขาซึ่งทางอัน
เที่ยงตรงของพระองค์ แล้วข้าพระองค์จะเข้ามายังพวกเขา จากเบื้อง
หน้าของพวกเขา และจากเบื้องหลังของพวกเขา และจากเบื้องขวาของ
พวกเขา และจากเบื้องซ้ายของพวกเขา และพระองค์จะไม่พบว่า
ส่วนมากของพวกเขานั้นเป็นผู้ขอบคุณ"
(อัล-อะอฺรอฟ: 16-17)
ประตูทางเข้าของชัยฏอน
7
ช่องทางที่ชัยฏอนใช้เข้ามาก่อกวนมนุษย์นั้นมีสามช่องทางคือ ชะฮฺวะฮฺ (ความใคร่อยาก)
ความโกรธ และ ฮะวา (อารมณ์)
ชะฮฺวะฮฺนั้นเป็นประเภทเดียวกันกับนิสัยของสรรพสัตว์ต่างๆ (บะฮีมียะฮฺ) ด้วยนิสัยนี้
มนุษย์จะกลายเป็นผู้ที่ทำร้ายตัวเอง ตัวอย่างของผลลัพธ์ด้านชะฮฺวะฮฺก็คือ ความงกและความ
ตระหนี่
ความโกรธนั้นเป็นนิสัยของเดรัจฉาน (สะบะอียะฮฺ) ซึ่งหนักกว่าชะฮฺวะฮฺ ด้วยความโกรธทำ
ให้มนุษย์ทำร้ายตัวเองและผู้อื่น ตัวอย่างผลลัพธ์ของความโกรธก็คือ การหลงตัวเองและความหยิ่ง
ยะโสโอหัง
ฮะวานั้นเป็นนิสัยของชัยฏอน (ชัยฏอนียะฮฺ) ซึ่งหนักหนากว่าความโกรธ ด้วยฮะวานี้
มนุษย์ได้ละเมิดในการก่ออธรรมไปยังพระผู้อภิบาลของเขาด้วยการตั้งภาคีและปฏิเสธศรัทธา
ตัวอย่างผลลัพธ์ของฮะวาก็คือ กุฟร์และบิดอะฮฺ
บาปส่วนใหญ่ของมนุษย์นั้นจะมาจากนิสัย บะฮีมียะฮฺ หรือการตามชะฮฺวะฮฺ เพราะเขา
มักจะไม่มีความสามารถกับส่วนอื่นๆ อีกสองประเภทดังกล่าว และจากการชะฮฺวะฮฺนี่เองที่จะชัก
นำเขาไปสู่อีกสองชนิดที่เหลือ
ก้าวย่างในการล่อลวงของชัยฏอน
ความชั่วร้ายทั้งหมดในโลกเกิดมาจากชัยฏอนเป็นสาเหตุ แต่ความชั่วร้ายของมันจะจำกัด
อยู่ในเจ็ดขั้นตอน มันจะคอยล่อลวงมนุษย์จนกระทั่งโดนเข้ากับหนึ่งในเจ็ดขั้นตอนนี้หรือมากกว่า
ขั้นตอนแรกและที่ร้ายกาจที่สุด คือ ความพยายามที่จะให้บ่าวนั้นตั้งภาคี ปฏิเสธศรัทธา
และเป็นศัตรูกับอัลลอฮฺและศาสนทูต ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม
ขั้นตอนที่สอง ถ้ามันหมดหนทางที่จะทำได้ตามขั้นตอนแรก มันก็จะเปลี่ยนไปมุ่งให้เขาทำ
บิดอะฮฺแทน
ขั้นตอนที่สาม ถ้ามันหมดหนทางจากขั้นตอนที่สอง มันก็จะเปลี่ยนให้เขามุ่งไปทำบาป
ใหญ่แทน
ขั้นตอนที่สี่ ถ้ามันหมดหนทางจากขั้นตอนที่สาม มันก็จะเปลี่ยนให้เขามุ่งไปทำบาปเล็ก
แทน
ขั้นตอนที่ห้า ถ้ามันหมดหนทางจากขั้นตอนที่สี่ มันก็จะทำให้เขาวุ่นอยู่กับสิ่งที่เป็นมุบาห์
(สิ่งที่อนุโลมให้ทำ) ซึ่งไม่มีทั้งบุญและบาปใด ให้เขาง่วนอยู่กับสิ่งนั้นจนลืมการทำความดีและ
หน้าที่อื่นๆ
ขั้นตอนที่หก ถ้ามันหมดหนทางจากขั้นตอนที่ห้า มันก็จะทำให้เขาง่วนอยู่กับงานที่มีความ
ประเสริฐน้อยกว่า แทนที่จะทำงานซึ่งประเสริฐมากกว่า เช่น ให้เขาทำสิ่งที่สุนัตแทนที่จะทำสิ่งที่วา
ญิบ เป็นต้น
ขั้นตอนที่เจ็ด ถ้ามันหมดหนทางจากขั้นตอนที่หก มันก็จะส่งพรรคพวกของมันไม่ว่าจะ
เป็นญินหรือมนุษย์ให้มาทำร้ายและสร้างความเดือดร้อนต่างๆ นานา เพื่อก่อกวนเขา ดังนั้น ผู้
8
ศรัทธาจะยังคงอยู่ในสภาพของการต่อสู้(ญิฮาด)อยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งเขาเสียชีวิตและได้พบ
กับอัลลอฮฺ เราขอให้พระองค์ประทานความช่วยเหลือและความมั่นคงด้วยเถิด
สิ่งที่ใช้ป้องกันตัวเองจากชัยฏอน
บ่าวสามารถป้องกันตัวเองจากชัยฏอนและจากความชั่วร้ายของมัน ด้วยดุอาอ์และบทซิ
กิรที่มีระบุในอัลกุรอานและซุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ที่ถูกต้องและเชื่อถือ
ได้ ในคำสอนของทั้งสองอย่างนั้นมีสิ่งที่ใช้ในการเยียวยา ความเมตตา ทางนำ และการปกป้อง
จากความชั่วร้ายต่างๆ ในโลกดุนยาและอาคิเราะฮฺ ด้วยอนุมัติของอัลลอฮฺตะอาลา ในจำนวน
วิธีการป้องกันเหล่านั้นก็คือ
หนึ่ง การขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺผู้ยิ่งใหญ่ เพราะแท้จริงอัลลอฮฺได้สั่งรอซูลของ
พระองค์ให้ขอความคุ้มครองต่อพระองค์จากชัยฏอนในสภาวะทั่วๆ ไป และในสภาวะเฉพาะเช่น
เมื่อต้องการอ่านอัลกุรอาน เมื่อมีความโกรธ เมื่อมีความลังเล เมื่อฝันร้าย เป็นต้น
1. อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
H¦ ¥ ¤ £ ¢ ¡  ~ } { z yI
[ [فصلت/ ٣٦
ความวา่ "และหากวา่ มีการยุแหยเ่จ้าจากชัยฏอนด้วยการยั่วยุใดๆ ก็จง
ขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺ แท้จริงพระองค์ทรงเป็นผู้ได้ยินและผู้รอบ
รู้ยิ่ง"
(ฟุศศิลัต: 36)
2. อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
y x w v u t s r q p o n mI
[٩٩- اجحل/ ٩٨ ] H¡  ~ } { z
ความว่า "ดังนั้น เมื่อเจ้าอ่านอัลกรุอาน ก็จงขอความคุ้มครองต่ออัลลอ
ฮฺให้พ้นจากชัยฏอนที่ถูกสาปแช่ง แท้จริงมันไม่มีอำนาจใด ๆ เหนือ
บรรดาผู้ศรัทธา โดยที่พวกเขาได้มอบหมาย(การงาน)ต่อพระเจ้าของ
พวกเขา"
(อัน-นะห์ลฺ: 98-99)
สอง การกล่าวพระนามของอัลลอฮฺ (กล่าว บิสมิลลาฮฺ) การกล่าวพระนามของอัลลอฮฺเป็น
การป้องกันจากชัยฏอน และปกป้องไม่ให้มันมายุ่งเกี่ยวปะปนกับมนุษย์เวลาดื่มกิน ยามหลับนอน
กับภรรยา เมื่อเข้าบ้าน และทุกๆ อิริยาบทของมนุษย์
9
1. จากญาบิรฺ อิบนุ อับดุลลอฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุมา เล่าว่าได้ฟังท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะ
ลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า
إذَا دَخَلَ الرَّجُلُ بَيْتَهُ، فَذَكَرَ الله عِنْدَ دُخُولِهِ، وَعِنْدَ طَعَامِهِ، قَالَ »
الشَّيْطَانُ: لا مَبِيتَ لكم ولا عشاء، وإذا دخل فلم يذكرِ الله عِنْدَ
َََََََََُُْْْ
دُخُولِهِ، قَالَ الشَّيْطَانُ: أدركتم المبيت، وإذا لم يذكرِ الله عِنْدَ
ََََََََُُِْْْْ
طَعَامِهِ قَالَ: أَدْرَكْتُمُ المَبِيتَ وَالعَشَاءَ

ความว่า "เมื่อชายคนหนึ่งเข้าบ้านของเขา แล้วได้กล่าวถึงอัลลอฮฺตอน
เข้าบ้านและตอนทานอาหาร ชัยฏอนก็จะพูดว่า ไม่มีที่หลับนอนและไม่
มีอาหารให้เราอีกแล้ว และเมื่อชายคนหนึ่งเข้าบ้านแต่ไม่ได้
กล่าวถึงอัลลอฮฺตอนเข้าบ้าน ชัยฏอนก็จะพูดว่า พวกเจ้าได้ที่หลับนอน
แล้ว และหากเขาไม่กล่าวถึงอัลลอฮฺตอนทานอาหาร ชัยฏอนก็จะพูดว่า
พวกเจ้าได้ที่หลับนอนและมีอาหารกินแล้ว" (บันทึกโดย มุสลิม: 2018)
2. จาก อิบนุ อับบาส เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุมา กล่าวว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะ
ลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า
أَهْلَهُ فَقَالَ 􀅘 لَو أَن أَحدكم إذا أَراد أَنْ يأ َِ »
:ََُّْْ بِاسْمِ الله، اللَّهُمَّ جَنِّبْنَا
ﻓِﻲ 􀈅 الشَّيْطَانَ، وَجَنِّبِ الشَّيْطَانَ مَا رَزَقْتَنَا، فَإنَّهُ إنْ يُقَدَّرْ بَيْنَهُمَا وَ ٌَ
.« ذَلِكَ لَمْ يَﻀُﺮَّهُ شَيْطَانٌ أَبَدًا
ความว่า "หากพวกท่านคนใดคนหนึ่งต้องการหลับนอนมีเพศสัมพันธ์
กับภรรยาของเขา แล้วเขากล่าวว่า บิสมิลลาฮฺ, อัลลอฮุมมัจญ์นิบนัช
ชัยฏอน วะ ญันนิบิชชัยฏอน มา เราะซักตะนา (ควาหมาย ด้วยพระนาม
ของอัลลอฮฺ ขอทรงโปรดให้เราห่างไกลจากชัยฏอน และให้ชัยฏอน
ห่างไกลจากสิ่งที่พระองค์ประทานให้เรา) ดังนั้น แท้จริงแล้ว ถ้าหากว่า
ถูกกำหนดให้มีลูกระหว่างทั้งสองเนื่องด้วย(การมีเพศสัมพันธ์)ในครั้ง
นั้น ชัยฏอนก็จะไม่สามารถทำร้ายเขา(ลูกคนนั้น)ได้ตลอดไป" (บันทึก
โดย อัล-บุคอรีย์ 7396 สำนวนรายงานนี้เป็นของท่าน และ มุสลิม
1434)
สาม การอ่านสองสูเราะฮฺ อัล-มุเอาวิซะตัยน์ คือ สูเราะฮฺ อัล-ฟะลัก และ สูเราะฮฺ อัน-นาส
เมื่อเข้านอน หลังละหมาด เมื่อเจ็บป่วย และกรณีคล้ายๆ กัน ดังที่มีรายงานจากอุกบะฮฺ บิน อามิรฺ
เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า เมื่อครั้งที่เราได้เดินทางกับท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ
วะสัลลัม ระหว่าง ญุฮฺฟะฮฺ กับ อับวาอ์ อยู่นั้น ได้เกิดมีลมพัดแรงและฟ้ามืดทึบมาปกคลุม ท่าน
10
รอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ก็ได้ขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺด้วยการอ่านสูเราะฮฺ
H الناس I และ H الفلك I และท่านได้กล่าวว่า
يا ققبَة يعوذ بِهِمَا فمَا يعوذ متعوذ بِمِثْلِهِمَا »
قَالَ: وَسَمِعْتُهُ يَؤُمُّنَا .«ٌََََََُُُِّّّْْ
بِهِمَا ﻓِﻲ الصَّلاةِ.
ความว่า "โอ้ อุกบะฮฺ จงขอความคุ้มครองด้วยมันทั้งสอง(สองสูเราะฮฺนี้)
เพราะไม่มีสิ่งใดที่จะใช้ขอความคุ้มครอง(ได้ดีเท่า)เหมือนกับสองสู
เราะฮฺนี้" อุกบะฮฺเล่าว่า ฉันได้ยินท่านอ่านสูเราะฮฺนี้ในการเป็นอิมามละ
หมาดกับเรา (หะดีษ เศาะฮีหฺ บันทึกโดย อะห์มัด 17483 และ อบู ดา
วูด 1463 สำนวนรายงานนี้เป็นของท่าน)
สี่ อ่านอายะฮฺ อัล-กุรสีย์
จาก อบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ
วะสัลลัม ได้มอบหมายให้ฉันเฝ้าซะกาตของเดือนเราะมะฎอน และแล้วก็มีสิ่งหนึ่ง(คือญินตนหนึ่ง)
มาหาฉัน มันได้ขุดคุ้ยหาอาหาร ฉันจึงจับมันไว้และบอกว่า "ขอสาบานว่าข้าจะนำเจ้าไปให้ท่าน
รอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม" แล้วท่านก็เล่าหะดีษที่ยาวซึ่งในตอนท้ายของหะดีษมี
ว่า มัน(ญินที่มาขโมยอาหารนั้น)ได้กล่าวว่า "เมื่อท่านเอนกายลงบนที่นอนก็จงอ่านอายะฮฺ อัล-กุร
สีย์ แล้วอัลลอฮฺจะให้มีสิ่งที่คอยเฝ้าพิทักษ์ท่าน และชัยฏอนตัวไหนก็มิอาจจะเข้าใกล้ท่านได้
จนกระทั่งรุ่งเช้า แล้วท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ก็กล่าวว่า
« صَدَقَكَ وَهُوَ كَذُوبٌ، ذَاكَ شَيْطَانٌ »
ความว่า "มันซื่อสัตย์กับเจ้า ทั้งๆ ที่มันเป็นจอมโกหก นั่นแหล่ะคือ
ชัยฏอน" (บันทึกโดย อัล-บุคอรีย์ โดยไม่ระบุสายรายงาน 5010 อัน-นะ
สาอีย์ และคนอื่นๆ ได้ระบุสายรายงานหะดีษนี้ด้วยสายที่เศาะฮีหฺ ดู
มุคตะศ็อร เศาะฮีหฺ อัล-บุคอรีย์ ของ อัล-อัลบานีย์ 2:106)
ห้า การอ่านสองอายะฮฺสุดท้ายของสูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ ตั้งแต่ h g I
H...จนจบสูเราะฮฺ
จาก อบู มัสอูด อัล-อันศอรีย์ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ
อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า
ْلَةٍ كَفَتَاهُ 􀇾 مَن قرأ هاتﻴﻦ الآيتﻴﻦ من آخر سورة اكقَرة ﻓﻲ َ »
.«ََََُِِِِِْْْ
ความว่า "ผู้ใดที่อ่านสองอายะฮฺนี้ของท้ายสูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ ใน
เวลากลางคืน มันจะช่วยคุ้มครองเขา" (บันทึกโดย อัล-บุคอรีย์ 5009
และ มุสลิม 808 สำนวนรายงานนี้เป็นของท่าน)
11
หก การอ่านสูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ
จาก อบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เล่าว่าท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ
วะสัลลัม กล่าวว่า
ي يقرأ 􀈆 لا تجعلوا نيوتكم مقابر إن الشيطان فنفر من اكيت ا »
ََُُِْ
َّ
ََََََُِِِّّْْْ
ََََُُْْ
.« فِيهِ سُورَةُ اكَقَرَةِ
ความว่า "อย่าได้ทำให้บ้านของพวกท่านเป็นเหมือนสุสาน(คือไม่มีการ
อ่านอัลกุรอานและทำอิบาดะฮฺในบ้าน) แท้จริงแล้วชัยฏอนจะหนีออก
จากบ้านที่มีการอ่านสูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ" (บันทึกโดย มุสลิม
780)
เจ็ด กล่าวรำลึกถึงอัลลอฮฺ(ซิกิร)ให้มาก ด้วยการอ่านอัลกุรอาน การตัสบีหฺ ตะหฺมีด ตักบีร
ตะฮฺลีล เป็นต้น
จาก อบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เล่าว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ
วะสัลลัม กล่าวว่า
مَنْ قَالَ: لا إلَهَ إلا الله وَحدَه لا ﺷﺮيكَ لَهُ، لَهُ المُلْكُ وَلَهُ اﻟﺤَمْدُ »
ِ
َُْ
ء قدير مائة مرة ﻛﺎنتْ له عدل عﺸﺮ رقاب، وكتِبَتْ 􀅽 وهو ﻟﺒ ﻛﻞ
ٍََُ
ََ
ِِ
ٌٍٍَََََََُُُِِِّّْْْ
نَتْ لَهُ حِرْزاً مِنَ 􀈡 لَهُ مِائَةُ حَسَنَةٍ، وَمُحِيَتْ قَنْهُ مِائَةُ سَيِّئَةٍ، وَ َ
، وَلم يأت أحَد بأَفْضَلَ مِمَّا جَاءَ إلَّا 􀆀 يمْ 􀅠 الشيْطان يومَه ذلك حَ
ٌَِ
ِِ
ََََََََُُِِّّْْ
.« رَجُلٌ عَمِلَ أَكْﺜَﺮَ مِنْهُ
ความว่า "ผู้ใดกล่าวว่า ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ วะห์ดะฮู ลา ชะรีกะละฮฺ,
ละฮุลมุลก์ วะละฮุลหัมดุ วะฮูวา อะลา กุลลิ ชัยอิน เกาะดีรฺ (ความหมาย
ดุอาอฺ : ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺแต่เพียงพระองค์เดียว ไม่มี
ภาคีใดสำหรับพระองค์ อำนาจการปกครองและมวลการสรรเสริญเป็น
เอกสิทธิ์ของพระองค์ และพระองค์ทรงอำนาจเหนือสรรพสิ่งทั้งมวล)
จำนวนหนึ่งร้อยครั้ง ย่อมเท่ากับ(การปล่อยทาส)สิบคน และถูกบันทึก
แก่เขาหนึ่งร้อยความดีงาม และถูกลบล้างแก่เขาหนึ่งร้อยความผิด และ
มันจะเป็นปกป้องเขาจากชัยฏอนในวันนั้นจนกระทั่งเย็น และไม่มีผู้ใด
ในวันกิยามะฮฺที่จะนำสิ่งใดๆ อันประเสริฐไปกว่าสิ่งที่เขาได้นำมา(ด้วย
การกล่าวบทซิกิรดังกล่าว) นอกจากผู้ที่อ่านมากกว่าเขา" (บันทึกโดย
อัล-บุคอรีย์ หมายเลข 6403 สำนวนรายงานเป็นของท่าน และ มุสลิม
หมายเลข 2691)
แปด ดุอาอฺเมื่อออกจากบ้าน
12
จากอะนัส อิบนุ มาลิก เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เล่าว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม
กล่าวว่า
ْتُ ﻟَﺒَ الله، لا 􀈢 إذَا خَرَجَ الرَّجُلُ مِنْ بَيْتِهِ فَقَالَ: بِاسْمِ الله، تَوَ َّ »
حول ولا قوة إلا بِا
يُقَالُ حِينَئِذٍ هُدِيتَ وَكُفِيتَ وَوُقِيتَ » : قَالَ « لََََُّّْلهِ
لَهُ الشَّيَاطِﻴﻦُ، فَيَقُولُ لَهُ شَيْطَانٌ آخَرُ: كيف لك برجلٍ 􀅵 فَتَتَنَ َّ
َُِ
ََ
َ􀈛 قد هدي وَكﻔِﻲَ وَوُ ِ
.«ََُُِْ
ความว่า "เมื่อชายผู้หนึ่งออกจากบ้านของเขาและได้กล่าวว่า
บิสมิลลาฮฺ ตะวักกัลตุ อะลัลลอฮฺ, ลาเหาละ วะลา กุว์วะตะ อิลลา
บิลลาฮฺ (ความว่า ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ฉันขอมอบหมายที่พึ่ง
ยังอัลลอฮฺ ไม่มีความสามารถและพละกำลังใดที่เกิดขึ้นเว้นแต่ด้วย
การอนุมัติของอัลลอฮฺ) เมื่อนั้นก็จะถูกกล่าวแก่เขาว่า ท่านได้รับการ
ชี้นำแล้ว ท่านได้รับการคุ้มครองแล้ว ท่านได้รับการปกป้องแล้ว
และชัยฏอนทั้งหลายก็จะพยายามเข้าใกล้เขา แต่จะมีชัยฏอนตัวอื่น
กล่าว่า เจ้าจะทำอย่างไรได้เล่ากับชายซึ่งได้รับการชี้นำ ได้รับการ
คุ้มครองและปกป้องแล้ว?" (บันทึกโดย อบู ดาวูด 5095 สำนวน
รายงานนี้เป็นของท่าน และอัต-ติรมิซีย์ 3426)
เก้า ดุอาอฺเมื่อแวะพักระหว่างทาง
จาก เคาละฮฺ บินตุ หะกีม อัส-สุละมียะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮา เล่าว่า ฉันได้ยินท่านรอซู
ลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า:
إذا نزل أحدكم مﻨﺰلاً فَلْيَقُلْ »
ِ
:ََُْْ أعوذ بِكَلِمَاتِ الله اﻛﺤَّامَّاتِ مِنْ ﺷَﺮِّ
َُ
.« يَرْتَحِلَ مِنْهُ 􀅠 ءٌ حَ َّ 􀅽 مَا خَلَقَ، فَإنَّهُ لا يَﻀُﺮُّهُ َْ
ความว่า "เมื่อพวกท่านคนใดคนหนึ่งหยุดพัก(ระหว่างเดินทาง) ณ ที่ใดที่หนึ่ง แล้ว
เขาก็กล่าวว่า อะอูซุ บิกะลีมาติลลาฮิต ต๊ามมาต, มิน ชัรริ มา เคาะลัก (ความหมาย ฉันขอ
ความคุ้มครองด้วยถ้อยคำอันสมบูรณ์แห่งอัลลอฮฺ จากความชั่วร้ายที่พระองค์ทรงสร้าง)
ดังนั้น จะไม่มีสิ่งใดที่ทำร้ายเขาได้ จนกระทั่งเขาเดินทางออกไปจากที่นั้น" (บันทึกโดย
มุสลิม 2708)
สิบ พยายามระงับการหาวและใช้มือปิดปาก
1. จาก อบู สะอีด อัล-คุดรีย์ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ
อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า
إذا يثاوب أحدكم فَليمسك نيدِه ﻟﺒ فِيهِ فَ »
َََِِ
.« إَُُِْْْنَّ الشَّيْطَانَ يَدْخُلُ
ความว่า "เมื่อพวกท่านคนใดคนหนึ่งหาว ก็จงใช้มือของเขาปิดปากเสีย
เพราะแท้จริงแล้วชัยฏอนจะเข้าไป" (บันทึกโดย มุสลิม 2995)
13
2. จาก อบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เล่าว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ
วะสัลลัม กล่าวว่า
اﻛﺤثاوب من الشيْطَان، فإذا يثاءبَ أحَدكمْ فليكظِمْ مَا اسْتَطَاعَ »
ََََُْْ
.«ََُِِّّ
ความว่า "การหาวนั้นมาจากชัยฏอน ดังนั้นเมื่อพวกท่านคนใดหาวก็จง
พยายามระงับมันเท่าที่สามารถทำได้" (บันทึกโดย อัล-บุคอรีย์ 3289
และ มุสลิม 2994 สำนวนรายงานนี้เป็นของท่าน)
สิบเอ็ด การอะซาน
จาก อบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เล่าว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ
วะสัลลัม กล่าวว่า
لا يسمع اﻛﺤأذِينَ، فَإذَا 􀅠 إذَا نودِيَ للصلاةِ أدبر الشيطان له ﺿﺮاط ح »
ٌََََََََََََُُّّّّْْْْ
ُِ
اﻛﺤثوِيبُ 􀆉 إذا ق 􀅠 إذا ثوب للصلاة أدبر، ح 􀅠 اجِّدَاءُ أَقْبَلَ، ح 􀆉 قُ َِ
ََََََََُُِّّّّْْ
ِّ
يَخْطُرَ نَﻴْﻦَ المَرْءِ وَغَفْسِهِ، يَقُولُ اذْكُرْ كَذَا، اذْكُرْ كَذَا لِمَا 􀅠 أَقْبَلَ، حَ َّ
يظلَّ الرجل لا يَدري كَمْ صَﻠَّﻰ 􀅠 لمْ يَكنْ يَذكر ح َّ
ِ
.«َََُُُّْْ
ความว่า "เมื่อมีการอะซานเรียกสู่การละหมาด ชัยฏอนจะหนีไปไกล
พร้อมกับตดไปด้วย (วิ่งหนีไปด้วยสภาพเช่นหางจุกตูด) เพื่อไม่ให้ได้ยิน
เสียงอะซาน เมื่อสิ้นเสียงอะซานมันก็จะกลับมาอีก จนกระทั่งเมื่อมีการ
อิกอมะฮฺเพื่อละหมาด มันก็จะหนีอีกครั้ง และเมื่ออิกอมะฮฺเสร็จมันก็
จะกลับมา จนกระทั่งมันได้เข้าไปรบกวนคนคนหนึ่งกับใจของเขา ด้วย
การล่อลวงว่า 'จงนึกถึงสิ่งนี้และสิ่งนั้น' ให้เขานึกถึงสิ่งที่เคยนึกไม่ได้
จนกระทั่งชายคนหนึ่งอาจจะไม่รู้สึกตัวว่าได้ละหมาดไปเท่าไรแล้ว"
(บันทึกโดย อัล-บุคอรีย์ 608 สำนวนรายงานนี้เป็นของท่าน และ มุสลิม
389)
สิบสอง ดุอาอฺตอนเข้ามัสญิด
จาก อุกบะฮฺ กล่าวว่า อับดุลลอฮฺ อิบนุ อัมร์ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุมา ได้เล่าให้เราฟัง
จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ว่า เมื่อท่านนบีเข้ามัสญิดท่านจะกล่าวว่า
أعوذ بالله العظيمِ، وَبِوجههِ الكرِيمِ، وَسُلْطَانِ »
َ
ََِِِْ
َُ
هِ القَدِيمِ مِنَ
قَالَ: أَقَطُّ؟ قُلْتُ .« الشَّيْطَانِ الرَّجِيمِ
: غَعَمْ، قَالَ: فَإذَا قَالَ ذَلِكَ قَالَ
َومِ. 􀇾 الشَّيْطَانُ: حُفِظَ مِﻨِّﻲ سَائِرَ ا
(คำอ่าน อะอูซุบิลลาฮิลอะซีม, วะบิวัจญ์ฮิฮิล กะรีม, วะสุลฏอนิฮิล
เกาะดีม, มินนัช ชัยฏอนิร เราะญีม)
14
ความว่า "ข้าขอความคุ้มครองด้วยอัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่ และด้วย
พระพักตร์อันทรงเกียรติของพระองค์ และด้วยอำนาจอันดั้งเดิมของ
พระองค์ จากชัยฏอนผู้ถูกสาปแช่ง"
อุกบะฮฺ ถามคนที่ฟังหะดีษ(นักรายงานที่ชื่อ หัยวะฮฺ)อยู่ว่า "ท่านฟัง
จากฉันเท่านี้เองหรือ?" เขา(หัยวะฮฺ)ตอบว่า "ใช่" อุกบะฮฺ จึงกล่าว
ต่อไปว่า "เมื่อเขากล่าวดุอาอ์นั้น ชัยฏอนก็จะพูดว่า เขาถูกปกป้อง
จากฉันวันนั้นทั้งวัน" (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดย อบู ดาวูด 466)
สิบสาม การทำวุฎูอฺ(อาบน้ำละหมาด)และเศาะลาฮฺ(ละหมาด) โดยเฉพาะมีความโกรธ
และมีอารมณ์ใคร่อยากในบาป เพราะไม่มีสิ่งใดที่บ่าวจะใช้ดับความร้อนรุ่มของความโกรธและ
อารมณ์ใคร่ได้ดีเท่าการอาบน้ำละหมาดและการละหมาด
สิบสี่ การเชื่อฟังอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ หลีกเลี่ยงจากการดูและพูดเรื่อยเปื่อย การ
กินที่เกินเลย และการคลุกคลีปะปนที่เกินพอดี
สิบห้า ทำให้บ้านปลอดจากรูปภาพ รูปปั้น สุนัข และกระดิ่ง(หรือระฆัง)
1. จาก อบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ
วะสัลลัม กล่าวว่า
.« لا تَدْخُلُ المَلائِكَةُ بَيْتاً فِيهِ تَمَاعِيلُ أَوْ تَصَاوِيرُ »
ความว่า "มลาอิกะฮฺจะไม่เข้าบ้านที่มีรูปปั้นและรูปภาพ" (บันทึกโดย
มุสลิม 2112)
2. จาก อบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เล่าว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ
วะสัลลัม กล่าวว่า:
.« لا تَصْحَبُ المَلائِكَةُ رُفْقَةً فِيْها ﻛَﻠْبٌ وَلا جَرَسٌ »
ความว่า "มลาอิกะฮฺจะไม่อยู่ร่วมกับผู้เดินทางที่มีสุนัขและกระดิ่ง"
(บันทึกโดย มุสลิม 2113)
สิบหก หลีกเลี่ยงสถานที่อาศัยของญินและชัยฏอน เช่น ที่ร้าง ที่โสโครกมีนะญิส อาทิ
สุขา(หรือสถานที่ปัสสาวะหรืออุจจาระ) ที่ทิ้งขยะ เป็นต้น หรือสถานที่ที่ไม่มีผู้คนอาศัย เช่น
ทะเลทราย ชายหาดที่เปลี่ยว เป็นต้น รวมทั้ง คอกอูฐ และ อื่นๆ ในทำนองเดียวกัน